Tuesday, June 24, 2014

Review: Spirit Bound


Spirit Bound
Spirit Bound by Christine Feehan

My rating: 3 of 5 stars



ในกระบวนหนังสือของคริสตีน ฟีแฮนที่ออกมามากมายหลายชุด ชุดที่เราโปรดปรานและติดตามอ่านมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองซีเฮเวน ที่ถือว่าเป็นชุดที่ไม่ถึงกับเป็นแนวพารานอนอลจ๋าอย่างชุดอื่นของเธอ ตัวเอกจะมีพลังจิตพิเศษเหนือกว่าคนธรรมดา แต่ในขณะเดียวกันเรื่องราวก็ยังคงเป็นเรื่องของคาแร็คเตอร์เป็นหลัง ผ่านฉากหลังในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้

หนังสือชุดซีเฮเวนออกมาแล้วสองชุดค่ะ ชุดแรกเป็นเรื่องของพี่น้องตระกูลเดรคที่มีเจ็ดเล่ม ซึ่งหลังจากชุดนี้จบลงไป คริสตีนก็เขียนชุดใหม่ขึ้นมา ตั้งชื่อว่า Sisters of the Heart เรื่องราวของหญิงสาวหกคนที่แม้จะไม่มีสายเลือดเกี่ยวพันกัน แต่ก็ผูกพันรักใคร่กันดุจดั่งพี่น้อง ซึ่งชุดนี้ก็เกิดขึ้นในเมืองซีเฮเวนเช่นกัน ทำให้คาแร็คเตอร์ในชุดเดรคโผล่มาในเล่มนี้ประปราย ที่สำคัญเราสงสัยแล้วล่ะค่ะว่า (สปอยล์เรื่องในชุดเดรค) พระเอกทั้งหกของเรื่องน่าจะเป็นพี่น้องที่พลัดพรากกันไปของอิเลีย พราเคนสกี พระเอกในเรื่อง Turbulent sea อีกต่างหาก

เรื่องนี้เป็นเล่มสองในชุดค่ะ เล่าเรื่องของจูดิธ ซึ่งไม่ถึงกับจำเป็นต้องอ่านเล่มก่อนหน้าในชุดไม่ว่าจะเป็นชุดนี้ หรือชุดเดรคก็น่าจะอ่านเล่มนี้ได้รู้เรื่อง

สเตฟาน พราเคนสกีเป็นสายลับชาวรัสเซียที่ได้รับคำสั่งให้สืบหาไมโครชิปที่เก็บความลับสำคัญจากฌองคอส เลอรุซ (ขอบอกว่า ความสามารถในการอ่านชื่อภาษาฝรั่งเศสของเรานรกมาก ดังนั้นขออภัยล่วงหน้าไปเลยกับการอ่านชื่อแบบผิด ๆ แต่เป็นตัวร้ายน่ะค่ะ เลยไม่อยากเสียเวลาหาวิธีการอ่านออกเสียงที่ถูกต้อง) ซึ่งเป็นมาเฟียใหญ่ที่แม้จะติดคุกอยู่ แต่ก็ยังทรงอิทธิพล สเตฟานปลอมตัวเข้าไปอยู่ในคุกเดียวกับฌองคอสเพื่อหลอกตีสนิท แต่ก็ไม่เป็นพ้น กระนั้นเขาก็ได้รับรู้ถึงความคลั่งไคล้ที่อาชญากรคนนี้มีต่อผู้หญิงลึกลับที่มีนามว่าจูดิธ

ความไม่คืบหน้าของปฏิบัติการทำให้เจ้านายของสเตฟานตัดสินใจช่วยฌองคอสแหกคุกออกมา เพื่อให้เขาพาไปหาไมโครชิปลึกลับนั้น แต่นั่นไม่ใช่หน้าที่ที่สเตฟานได้รับมอบหมาย เขากลับถูกส่งตัวไปอเมริกาที่เมืองซีเฮเวน เพื่อติดตามตีสนิทกับจูดิธ ถ้าหากฌองคอสสามารถหลบหนีจากการติดตามของสายลับคนอื่น (ที่ช่วยเขาแหกคุกออกมา) ได้

และนั่นทำให้สเตฟานรู้เกือบในทันทีว่า มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น เพราะสายลับที่ได้รับการฝึกมาอย่างเขามีค่าเกินกว่าจะเล่นบทพี่เลี้ยงในเมืองเล็ก ๆ เขารู้ว่า ผู้บังคับบัญชากำลังต้องการจะเก็บเขาออกจากเกมส์ เพื่อทำลายร่องรอยของการกระทำในอดีตที่ใช้วิธีสกปรกจับเอาเด็ก ๆ ไปฝึกเป็นสายลับ พี่น้องตระกูลพราเคนสกีก็เป็นหนึ่งในเด็กที่ถูกส่งเข้าไปในระบบแห่งความโหดร้ายนั้น ตอนนี้เบาะแสปรากฎขึ้น เจ้านายของสเตฟานหวาดกลัวอนาคตทางการเมืองของตัวเองจะดับลง ทางออกก็คือกำลังสายลับที่เกิดจากโครงการนี้

แต่สเตฟานไม่ใช่แค่คนเดียว เขาถูกส่งไปซีเฮเวนเพื่อหลอกล่อให้เลฟ น้องชายของเขาซึ่งก็เป็นสายลับ แต่หายสาปสูญไปขณะปฏิบัติการที่เมืองแห่งนี้ปรากฎตัวออกมา

เมื่อไปถึงสเตฟานรับบทบาทของโธมัส เจ้าของห้องภาพผู้แสนจะศิวิไลซ์ มันเป็นบทบาทที่เขาเล่นได้อย่างไม่มีข้อบกพร่อง สิ่งที่เขาไม่ได้เตรียมตัวเอาไว้เลยก็คือการได้พบกับจูดิธ เธอเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง และยังทำงานให้กับเจ้าของห้องภาพที่ "โธมัส" เสแสร้งว่าสนใจจะซื้อเป็นเจ้าของ

ครั้งแรกที่ทั้งสองพบกัน ทั้งคู่ก็รู้ในทันทีว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ทั้งคู่ต่อกันติดเพียงแค่สบตา ความรู้สึกลึกซึ้งต่อกันเริ่มต้นเกิดขึ้น นั่นเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่จูดิธรู้สึกบางอย่าง หลังจากความล้มเหลวในความสัมพันธ์ในอดีต ความสัมพันธ์ที่ทำให้พี่ชายของเธอถูกฆ่า และหญิงสาวต้องหลบหนีไปเลียแผล

แต่ภายใต้ฉากหน้าของโธมัส ก็คือสเตฟาน สายลับผู้อันตราย และแม้เขาจะรู้ว่า ตัวเองมีใจให้กับจูดิธ และตัดสินใจอย่างรวดเร็วว่า จะไม่ปล่อยให้เธอหลุดมือไปไหนแน่ ๆ ก็ยังมุ่งมั่นว่าจะทำภารกิจในการตามหาไมโครชิปให้เจอ ทำให้แม้เขาจะเชื่อมั่นในตัวจูดิธมากเพียงไร ก็ไม่อาจบอกความจริงทุกอย่างให้เธอทราบได้

นอกจากนี้เขายังต้องตามหาตัวน้องชายตัวแสบ ที่เขาเชื่อว่า ยังมีชีวิตอยู่ และหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งในเมืองซีเฮเวนแห่งนี้

เราชอบคาแร็คเตอร์ของสเตฟานนะคะ ปัญหาก็คือ เขาไม่มีความสดใหม่ เป็นคาแร็คเตอร์แบบที่เราเห็นหลายครั้งในหน้าหนังสือ บางมุมของเขาทำให้เรานึกถึงปีเตอร์ เจนเซน (พระเอกเรื่อง Cold as Ice ของแอนน์ สจ๊วต) แต่สเตฟานไม่เยือกเย็นพอ ในแง่มุมของการเป็นสายลับผู้ใช้ทุกอย่างเพื่อความสำเร็จ มีเซ็กส์ก็เพื่อภารกิจ (แต่ต่างกันตรงที่สเตฟานไม่เคยมีอะไรกะผู้ชายนะคะ) ทำให้เมื่อเจอกับจูดิธ เขามีเซ็กส์เพื่อเซ็กส์ (หรือความรัก) เป็นครั้งแรก นั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้เจอ

อย่างที่บอกไปค่ะ ไม่มีอะไรใหม่ในคาแร็คเตอร์ของสเตฟาน สายลับผู้เหนื่อยกับการเล่นเกมส์แห่งความตาย เดินทางมาเมืองเล็ก ๆ และได้เจอกับหญิงสาวผู้ทำให้เขาตื่นขึ้นจากอาการชาชินกับโลกแห่งความโหดร้ายที่ใช้ชีวิตอยู่เป็นประจำ จูดิธคือแสงสว่างที่ปลายทางของสเตฟาน และแม้จะไม่มีอะไรใหม่ในคาแร็คเตอร์ของเขา แต่ตัวละครแบบนี้ก็เป็นแบบพิมพ์ที่เราโปรดปรานมากค่ะ ดังนั้นจึงอ่านได้ไม่มีปัญหา

มีฉากขำ ๆ อยู่หลายฉากในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่สเตฟานคิดว่า เลฟ ผู้เป็นน้องชาย (และพระเอกเล่มแรกในชุดเรื่อง Water Bound) มาหลอกเพื่อนของจูดิธเพื่อใช้เป็นฉากหน้าในการป้องกันตัวเอง แล้วออกอาการโกรธน้องมาก ๆ โดยไม่คิดว่า ตัวเขาเองก็กำลังทำอย่างเดียวกันกับจูดิธ (สเตฟานให้เหตผลว่า ถึงหลอกเรื่องตัวตนที่แท้จริง แต่เขาจริงใจในเรื่องความรักนะ)

เล่มนี้ฉากระหว่างมีฉากระหว่างพี่น้องพราเคนสกีให้ชื่นใจกันบ้างนะคะ แม้อิเลียที่รักของเราก็ยังไม่กลับมาจากฮันนีมูน (ซะที พี่ชายโผล่มาสองคนแล้ว น้องคนเล็กยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักอย่าง) ฉากสองพี่น้องตามล่าคนร้าย อ่านแล้วได้ใจมาก แต่ฉากที่เราถือว่าสนุกที่สุด ก็คงเป็นฉากที่เพื่อนสาวพยายามเกลี้ยกล่องเรกกิ (นางเอกเล่มแรก) ให้รับหมามาเลี้ยงให้ได้ อ่านแล้วนึกถึงเรกกิเลยค่ะ คริสตีนรักษานิสัย (แปลก ๆ) ของเรกกิได้ดีมาก

โดยรวมเล่มนี้ไม่มีอะไรที่แปลกใหม่ในแง่ของพล็อตหรือคาแร็คเตอร์เลยค่ะ แต่เพราะเป็นพล็อตและคาแร็คเตอร์แบบที่เราชอบอ่าน เราจึงค่อนข้างชอบเล่มนี้

คะแนนที่ 70




View all my reviews

Review: Water Bound


Water Bound
Water Bound by Christine Feehan

My rating: 3 of 5 stars



ตามจริงแล้ว เราไม่ได้มีคิวจะอ่านหนังสือเล่มนี้เลยสักนิดเดียว แต่เราขอยกให้เป็นความดีของคุณ Ploy ค่ะ ที่เข้ามาคอมเม้นต์ในบลอกที่เรารีวิวหนังสือเรื่อง Safe Harbor เลยทำให้เราเกิดความรู้สึกอยากอ่านเรื่องที่เกี่ยวกับตัวละครที่เป็นพระเอกในเรื่อง Turbulent Sea

ถ้าฟังแล้วงง ก็ไม่ได้คิดมากนะคะ เหตุผลของเรามักจะไม่ค่อยมีเหตุผลสำหรับคนอื่นเท่าไหรนัก สรุปเป็นว่า เราหยิบเล่มนี้มาอ่าน เพราะเรากะว่า คงจะได้เจอคาแร็คเตอร์ที่เราชอบมาก ๆ อย่าง อิเลีย พราเคนสกีอีกรอบน่ะค่ะ

หนังสือเล่มนี้ประกาศว่าเป็นเล่มแรกในชุด Sea Haven ที่เราเรื่องหญิงสาวที่สนิทแนบแน่นกันราวกับพี่น้อง แม้จะไม่มีสายเลือดเกี่ยวข้องกันเลยก็ตาม แต่แม้จะบอกว่าเป็นเล่มแรกในชุด เรื่องนี้ก็ยังมีความเกี่ยวพันอย่างมากกับหนังสือชุดพี่น้องตระกูลเดรคที่ออกมาครบแล้วเจ็ดเล่ม โดยเฉพาะพระเอกในเรื่องนี้เป็นคาแร็คเตอร์ที่ออกมามีบทตั้งแต่ในเรื่อง Hidden Currents ซึ่งเป็นเล่มสุดท้ายในชุดพี่น้องตระกูลเดรค

สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านเรื่อง Hidden Currents เล่มนี้จะเป็นการสปอยล์เรื่องราวในเล่มนั้นเล็กน้อยนะคะ แต่ไม่ได้ถึงกับทำให้หมดความสนุกไปหรอกค่ะ

เรกกิ ซิทมอร์เป็นคนพิเศษ และมันไม่ใช่แค่ความพิเศษตรงที่เธอสามารถควบคุมน้ำได้เท่านั้น ความพิเศษของเธอยังเป็นสิ่งที่หลายคนเรียกว่า "ผิดปกติ" อีกด้วย เธอเป็นหญิงสาวที่ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบของพฤติกรรมอันชัดเจน เธอต่อต้านสังคม และไม่เปิดใจรับใครเข้ามา นอกจากหญิงสาวสี่ห้าคนที่เธอเรียกว่า "พี่น้อง" กลุ่มหญิงสาวที่อยู่ร่วมกันในไร่ใหญ่โต มีบ้านกันคนละหลังเพื่อความเป็นส่วนตัว แต่ผูกพันกันเหมือนพี่น้องที่คลานตามกันมา หญิงสาวเหล่านั้นคือคนกลุ่มเดียวที่เข้าความพิเศษของเรกกิ และยอมรับตัวตนของเธอได้

ดังนั้นเมื่อเธอได้พบ หรือจะบอกว่า ช่วยชีวิตชายลึกลับทีความทรงจำไม่ครบถ้วนนัก (แต่มากพอที่จะรู้ชื่อของตัวเอง) เรกกิทำในสิ่งที่เธอไม่เคยทำมาก่อน นั่นคือพาเขากลับไปที่บ้าน ยอมให้เขานอนบนเตียงของเธอ รุกรานความเป็นส่วนตัวที่เธอหวงแหนมากที่สุด สิ่งที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าก็คือ ชายคนนั้นยอมรับเรกกิแบบตัวตนที่เธอเป็นได้

อันที่จริงเลฟ พราเคนสกีอ้าแขนรับเรกกิเลยด้วยซ้ำ

นั่นเพราะตลอดชีวิตของเลฟ เขาคือเงามืด และเป็นหน่วยปฏิบัติการที่จัดการงานที่ไม่มีใครทำได้ แต่แม้เขาอาจจะอยู่ "ฝ่ายดี" แต่การกระทำที่เพื่อมุ่งหวังผลในทางที่ดี มันไม่ใช่การกระทำที่ดีเลย เลฟต้องเลือกทำในสิ่งที่ยาก ต้องเสียสละ หรือทำร้ายคนบางคนเพื่อประโยชน์ของส่วนร่วม แต่เมื่อภารกิจของเขาล้มเหลว เป้าหมายของเลฟเสียชีวิตด้วยน้ำมือของคนอื่น ในขณะที่ตัวเขาเองก็ถูกคลื่นยักษ์พัดพาจนตกทะเลไป เลฟคิดว่า เวลาของตัวเองหมดลงแล้ว แต่เขากลับได้พบกับโอกาสที่สอง

เขาได้พบกับเรกกิ

เธอคือผู้หญิงที่มีความพิเศษ ในสายของเลฟ เรกกิไม่ใช่คนที่ผิดปกติ ใช่ เธออาจจะเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง และบางครั้งเธอก็จู้จี้ในสิ่งที่ไม่มีใครเข้าใจ เธอเช็ดจานจนขึ้นเงา แต่ไม่ยอมให้ใครเอาไปใช้ เพราะกลัวแตก เธออาจจะรักพี่น้องของเธอมาก แต่ก็ไม่ยอมให้ใครก้าวเท้าเข้าไปในบ้านของเธอ สำหรับเลฟแล้ว นั่นไม่ใช่ความผิดปกติ แต่มันคือความพิเศษ

และสัญชาตญาณในตัวเขาก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่า เขาจะทำทุกอย่างที่จะยึดเรกกิเอาไว้ในชีวิต ไม่สำคัญเลยว่า รัฐบาลที่เป็นเจ้าของเขาจะส่งคนออกมาสืบหาความจริงว่า สายลับอย่างเขาได้ตายในภารกิจอย่างที่เข้าใจกันหรือไม่ ไม่สำคัญเลยว่า เขาอาจจะเป็นคนนำอันตรายมาสู่เธอ นั่นเพราะเลฟไม่อาจเดินออกไปจากชีวิตของเรกกิได้

อย่างที่บอกไว้ทีแรกนะคะ เราหยิบเล่มนี้มาอ่านเพราะหวังจะได้เจอกับอิเลีย เพราะเลฟเป็นพี่ชายที่พลัดพรากกันไปตั้งแต่เด็ก (ซึ่งอิเลียไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน) เราเลยคิดว่า น่าจะมีบทออกมาบ้าง แต่เอาเข้าจริง ก็ไม่ออกหรอกค่ะ แต่มันไม่ได้ทำให้เนื้อหาสนุกน้อยลงไปเลยนะคะ ซึ่งนี่เ็ป็นคำชมมาก ๆ แล้วล่ะ เมื่อคิดว่า เราค่อนข้างผิดหวังที่ไม่ได้เห็นอิลยาเลย

เรกกิเป็นคนที่มีอาการของโรคออทิสติก แต่เป็นออทิสติกที่ยังมีความรับรู้ค่อนข้างสูง หรือที่เรียกกันว่า High Function Autism ซึ่งพออ่านไปแล้วก็ให้ความรู้สึกเหมือนอาการของลอร์ดเอียน จาก The Madness of Lord Ian MacKenzie ด้วย และนี่ก็เป็นอีกเล่มนึงที่เขียนเรื่องราวของตัวละครที่บกพร่องทางจิต ให้ไม่บกพร่องในเนื้อหาเลย

คริสตีนบรรยายอาการของเรกกิได้ชัดเจน และเห็นถึงความไม่ปกติของเธอ แต่ในฐานะคนอ่านเรากลับไม่รู้สึกว่า เธอไม่ปกติ และการมองตัวตนของเธอผ่านสายตาของเลฟ ยิ่งทำให้เรารู้สึกถึงความ "พิเศษ" ของเธอเพิ่มขึ้นไปอีก ทั้งหมดนั่นทำให้เรารักพระเอกมาก ๆ เพราะเขาฉลาดพอที่จะเห็นคุณค่าของนางเอก และเขาก็เห็นแก่ตัวพอที่จะรั้งตัวเธอไว้ และใช้ทุกโอกาสที่นางเอกเปิดทางให้ แทรกตัวเองเข้าไปในชีวิตของเธอ เพราะถ้าเลฟไม่ใช่คนแบบนี้ โอกาสที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะเกิดขึ้นได้ มันคงจะยากมาก ๆ

กระนั้นหนังสือเล่มนี้ค่อนข้างหนามากนะคะ (ประมาณสี่ร้อยสี่สิบหน้า) ทำให้มีบางช่วงที่เรารู้สึกว่าเยิ่นเย้อไปบ้าง คาแร็คเตอร์อาจจะน่าสนใจ แต่ก็ไม่ถึงกับจับใจเราเอาไว้ได้ตลอดทั้งเรื่อง นี่อาจจะเป็นข้อเสียเดียวที่เรารู้สึกชัดเจนกับหนังสือเล่มนี้

อีกประเด็นที่ดูจะเป็นปัญหาของตัวละครในเรื่องในการยอมรับเลฟ ก็คือการกระทำที่เขาเข้าไปมีส่วนในการถูกลักพาตัวไปของเอลล์ ในเรื่อง Hidden Currents ซึ่งสำหรับเรา นี่ไม่เป็นปัญหาค่ะ เพราะเรารู้สึกเสมอว่า เอลล์รนหาที่เอง ใน HC เลฟซึ่งตอนนั้นปลอมตัวเป็นบอดีการ์ดของผู้ร้าย ก็พยายามเตือนเธอแล้วให้หนีไป แต่สาวเจ้าคิดว่า ตัวเองเก่งเวอร์ ก็เลยดันทุรังอยู่ต่อ จนทำให้ถูกผู้ร้ายข่มขืนยับเยิน ในเรื่องนี้เลฟถูกโทษว่าเป็นคนผิด เขาเองก็มองว่าตัวเองเป็นคนผิด และต้องใช้เวลาในการทำความสงบกับจิตใต้สำนึกของตัวเอง แต่เราไม่ได้คิดมากเลยค่ะ กระนั้นการเปิดประเด็นนี้ก็ยิ่งทำให้เห็นความน่ารักของเรกกิ ที่เธอเข้าใจเลฟอย่างยิ่ง เราชอบฉากที่เลฟ ซึ่งความจำเบลอ ๆ (ไม่ถึงกับความจำเสื่อม แต่จำได้ไม่ครบ) ถามเธอว่า ถ้าเขาเป็นคนที่เลวร้ายมาก ๆ ในอดีตล่ะ เรกกิก็บอกว่า นั่นคือตัวเขาในอดีต ไม่ใช่เขาที่อยู่กับเธอในเวลานี้

นั่นทำให้เราชอบนางเอกมาก ๆ ค่ะ

คนที่ชินกับสไตล์การเล่าเรื่อง และการเขียนของคริสตีน น่าจะไม่มีปัยหาอะไรกับเล่มนี้ สำหรับเราถือว่า นี่เป็นหนึ่งในหนังสือที่ "ดี" ของคริสตีนค่ะ



View all my reviews

Review: Why Kings Confess


Why Kings Confess
Why Kings Confess by C.S. Harris

My rating: 5 of 5 stars



หนึ่งในหนังสือชุดที่เรารอคอยอย่างตั้งใจ และยังไม่ทำให้เราผิดหวังเลย แต่ก่อนที่จะเริ่มอ่านเล่มนี้ เราแอบเปิดตอนจบดูเล็ก ๆ นะคะ เพราะกลัวใจคนแต่งค่ะ เนื่องจากเรื่องนี้เป็นแนว Historical Mystery ไม่ใช่โรแมนซ์ แต่ส่วนโรแมนซ์ (ที่ไม่ได้หวานซึ้งมากมาย แต่ทำให้เราติดตามอ่านชุดนี้แบบติดหนึบ) ถือเป็นส่วนสำคัญสำหรับเรา และเรากลัวมาก ๆ โดยเฉพาะเมื่ออ่านคำโปรยปกหลังของเรื่องที่บอกว่า อาจจะเกิดอะไรขึ้นกับฮีโร่ การตั้งครรภ์ของเธออาจจะมีปัญหา และเราคงจะทนไม่ได้ถ้าฮีโร่เป็นไปไรขึ้นมา โดยเฉพาะตอนนี้แคท ผู้หญิงอีกคนในชีวิตของเซบาสเตียน คนที่เขารักมาก ๆ ได้กลับมาเป็นโสดอีกครั้ง

รีวิวเรื่องนี้จะเป็นการสปอยล์เล่มก่อนหน้านะคะ

เป็นอีกครั้งที่โฟกัสกลับไปที่พอล กิ๊บสัน ศัลยแพทย์ และเพื่อนสนิทของเซบาสเตียน ที่ออกไปเดินเล่นตอนดึกดื่น แล้วได้พบกับศพคนตาย พร้อมกับหญิงสาวที่รอดตายอย่างปาฎิหารย์ หญิงสาวที่เขาพากลับไปยังที่พักของเขาด้วยเพื่อรักษา และแน่นอนว่า พอลได้เรียกเซบาสเตียน เพื่อนสนิทออกตามหาความจริง

เรื่องได้นำเซบาสเตียนไปยังปริศนาเกี่ยวกับรัชทายาทของพระเจ้าหลุยส์ที่สิบหก เด็กชายที่ถูกเข้าใจว่าตายไปแล้ว หลังจากถูกจับและขังภายหลังจากการปฏิวัติฝรั่งเศส เช่นเดียวกับหลายเรื่องในชุด คนแต่งได้นำประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจมาเป็นส่วนหนึ่งของพล็อตเรื่อง ที่แม้ในเล่มนี้จะใช้ประวัติศาสตร์ที่ถูกนำมาใช้บ่อยครั้ง แต่ก็ยังมีหลายเรื่องที่เราพบว่า ไม่เคยรู้มาก่อน

นอกจากการสืบสวนที่เข้าไปพัวพัน เซบาสเตียนก็ยังต้องกังวลกับฮีโร่ ภรรยาที่ตอนนี้ท้องแก่ใกล้คลอด แต่ดูเหมือนว่า จะไม่ใช่การคลอดที่ราบรื่น ความเสี่ยงที่เขาจะสูญเสียเธอไปเพิ่มมากขึ้น

เล่มนี้เป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกจริง ๆ ว่า เซบาสเตียนมีใจให้กับฮีโร่ และมันสมจริงมาก ๆ เราเคยอ่านบลอกของคนแต่งนะคะ เมื่อถูกถามว่า ความสัมพันธ์ที่ดูเย็นชาของทั้งคู่จะจบลงเมื่อไหร เซบาสเตียนจะมีวันหักใจจากแคทได้ไหม และคนแต่งตอบว่า เซบาสเตียนเป็นคนที่รักจริง และรักแรง ดังนั้นเขาคงจะไม่เปลี่ยนใจเพียงช่วงข้ามคืน และเขาคงไม่ใช่เซบาสเตียนถ้าทำอย่างนั้น นั่นทำให้เราคิดว่า คงอีกนานที่วันนี้ (ที่เซบาสเตียนยอมรับความรู้สึกตัวเอง) จะมาถึง จึงเรียกได้ว่า เล่มนี้เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิดค่ะ

นั่นจึงทำให้เรากรี๊ดมาก และรู้สึกว่า เป็นเล่มที่หวานมาเช่นกัน (อย่างน้อยก็หวานเท่าที่เรื่องแนวนี้จะเป็นไป)

เราหลงใหล และหลงรักหนังสือชุดนี้อย่างแรงค่ะ



View all my reviews

Review: What Darkness Brings


What Darkness Brings
What Darkness Brings by C.S. Harris

My rating: 4 of 5 stars



ไม่อาจปฏิเสธได้นะคะว่า ณ เวลานี้หนังสือชุดนี้คือเรื่องแนว Historical Mystery ที่เราชอบมากที่สุด (หนึ่งในหนังสือไม่กี่เรื่องที่เราลงทุนซื้อปกแข็ง) สำหรับเราแล้วทุกอย่างในเรื่องนี้ลงตัวมาก ๆ การผสมผสานประวัติศาสตร์เข้าไปในประเด็นสืบสวน แง่มุมต่าง ๆ ในสังคมยุครีเจนซี่ที่ถูกนำมาใช้ไม่ใช่เรื่องที่คุ้นเคย และนั่นมันยากมาก ๆ นะคะ เพราะเรื่องแนวรีเจนซีถูกเขียนถึงมาหลายร้อยหลายพันครั้ง ยังจะมีอะไรใหม่ให้นำมาเขียนกันอีก แต่ทุกเล่มในชุดนำเสนอสิ่งใหม่ ที่ทำให้เราเมื่ออ่านจบต้องเปิดคอมพิวเตอร์ (หรือมือถือในตอนนี้) แล้วกูเกิ้ลหาข้อมูลเพิ่มเติม เพราะอยากรู้เรื่องเพิ่มมากขึ้นไปอีก

แต่สารภาพค่ะ ไม่ใช่เรื่องสืบสวน หรือประวัติศาสตร์ที่ทำให้เราติดหนังสือชุดนี้ หากแต่เป็นคาแร็คเตอร์ คนแต่งสามารถเขียนให้เซบาสเตียน พระเอกของเรื่อง ไวส์เคาท์เดฟลินผู้ที่มีงานอดิเรกที่ไม่ธรรมดา เป็นคนที่สามารถสื่อกับคนอ่านได้ เขาเป็นชายที่รักความยุติธรรม และเห็นใจเหยื่อ แต่วิธีที่เขียน และการเล่าเรื่องไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าเซบาสเตียนดีเกินไป ความล้มเหลวในเรื่องชีวิตส่วนตัวทำให้เขาจับต้องได้ และเรื่องวุ่นวายในชีวิตรักของเขาก็สิ่งที่ทำให้เราควักเงินซื้อปกแข็งมาอ่านค่ะ

การเขียนต่อไปจะเป็นการสปอยล์เล่มก่อนหน้าเล่มนี้นะคะ เตือนไว้ก่อนเลย

เราเพิ่งเริ่มสังเกตตอนที่ย้ายรีวิวจากบลอก Mostly Romance มาที่ Goodreads นี่ว่า เราเริ่มคลั่งหนังสือชุดนี้ก็เมื่อแม่สาวแคทเดินออกจากชีวิตของเซบาสเตียน ไม่เคยคิดแบบนี้มาก่อนนะคะ เพราะพล็อตเล่มสามโดนใจเรามาก ๆ (สะเทือนใจด้วย) แต่มันเป็นแบบนั้น เพราะตั้งแต่เธอจากไป เรารู้สึกว่าเรื่องสนุกขึ้นเรื่อย ๆ เราชอบทุกอย่างที่ประกอบกันเป็นฮีโร่ เธอคือผู้หญิงในดวงใจเลยเลยก็ว่าได้นะคะ

หลังจากหายตัวไปหลายเล่ม แคทก็กลับเข้ามาในชีวิตของเซบาสเตียน คราวนี้เพื่อให้เขาช่วยค้นหาความจริงในความผิดที่รัสเซลล์ สามีของเธอถูกกล่าวหา รัสเซลล์ซึ่งเป็นเจ้าพ่อโลกใต้ดินของลอนดอนกำลังถูกพิจารณาคดีข้อหาฆาตกรรมพ่อค้าเพชร หลักฐานสนับสนุนการกระทำความผิด แต่แน่ล่ะมีอะไรมากกว่านั้น

การค้นหาความจริงของเซบาสเตียนทำให้เขาได้พบกับปริศนาในอดีตของตัวเองเช่นกัน เมื่อเขาได้พบกับชายที่ดูเหมือนจะมาจากสายเลือดเดียวกับเขา เพราะเซบาสเตียนไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเอิร์ลแห่งแฮนดอน พ่อของเขาคือปริศนา และชายคนที่พบมีความคล้ายคลึงทางด้านรูปลักษณะ และความสามารถพิเศษบางอย่างจนน่าเชื่อว่า อาจจะเป็นพี่ชายต่างมารดากันได้

ความสัมพันธ์ระหว่างเซบาสเตียน และฮีโร่ซึ่งจำเป็นต้องแต่งงานกัน เริ่มพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น แต่การที่แคทกลับเข้ามาในชีวิตของเซบาสเตียนก็เริ่มทำให้ความเคลือบแคลงเกิดขึ้น เพราะเซบาสเตียนเป็นคนที่รักมั่น และจริงใจ ตลอดเวลาหลายปีแคทอยู่ในดวงใจของเขาเสมอ และเป็นเพราะเหตุการณ์อันกลับตาลปัตรที่บังคับให้ทั้งคู่ต้องแยกจากกัน การที่แคทโผล่เข้ามาอีกครั้ง ในยามที่เซบาสเตียนเริ่มยอมรับความรู้สึกที่ตัวเองมีให้กับฮีโร่จึงถือว่าเป็นช่วงต้องลุ้นมาก ๆ (สำหรับคนอ่านที่เชียร์ฮีโร่แบบรุนแรง)

เราว่าคนแต่งเขียนได้ดีนะคะ ทำให้ (อย่างน้อยก็) เราเห็นว่า แคทไม่ใช่คนที่เหมาะสมกับเซบาสเตียน โดยที่ไม่ได้จำเป็นจะต้องไปใช้พล็อตแนวที่ว่า แคทไม่ใช่คนที่อย่างที่เซบาสเตียนคิดว่า เธอเป็น ก็แค่เธอไม่เหมาะสม และฮีโร่คือคนที่ใช่มากกว่า แต่กระนั้น ตอนจบที่รัสเซลล์ถูกลอบสังหาร ทำให้เราใจสั่นไปอย่างมาก กลัวค่ะ กลัวใจคนแต่งว่าจะเอาผู้หญิงคนนี้เข้ามาในชีวิตเซบาสเตียนอีกครั้ง

โดยรวมเรื่องนี้ไม่ผิดหวังค่ะ แต่เรารู้สึกว่า ปริศนาในเรื่องไม่ถึงกับน่าติดตาม เราว่าคนตายเยอะไปหน่อย แต่ก็เป็นเล่มที่สนุกมาก ๆ ในชุด



View all my reviews

Monday, June 23, 2014

Review: When Maidens Mourn


When Maidens Mourn
When Maidens Mourn by C.S. Harris

My rating: 5 of 5 stars



หนึ่งในหนังสือที่เราลงทุนซื้อในฉบับปกแข็งมาอ่านก็คือเรื่องนี้ค่ะ และมันไม่ใช่หนังสือโรแมนซ์

นั่นน่าจะบอกถึงความคลั่งไคล้ที่เรามีให้กับหนังสือชุดนี้เป็นอย่างดีนะคะ ในช่วงเวลาที่เราเกือบจะไม่ได้อ่านหนังสือแนวอื่นแล้ว หนังสือชุดนี้กลายเป็นหนังสือที่เรารักมาก ๆ และทำให้เราตั้งหน้าตั้งตารอคอยเล่มต่อไปในชุดชนิดที่แทบนับวันรอเลยล่ะ

เรื่องนี้เป็นเล่มที่เจ็ดในหนังสือแนวสืบสวนย้อนยุคที่ดำเนินเรื่องโดยเซบาสเตียน เซ็นต์เซอร์ ไวส์เคาท์เดฟลินผู้มีชาติกำเนิดสูงส่ง แต่กลับเลือกที่จะทำงานราวกับตำรวจ (ยังไม่มีตำรวจในยุคนั้นหรอกนะคะ)

เราไม่แนะนำเรื่องนี้ให้กับคนที่ไม่ได้ตามอ่านเรื่องชุดนี้นะคะ จริง ๆ เราคิดว่า น่าจะอ่านได้รู้เรื่องอย่างไม่มีปัญหาอะไร แต่เราอยากให้อ่านไล่เรียงกันมาตามลำดับดีกว่า ปริศนาในส่วนสืบสวนน่าอ่านมาก เรื่องส่วนตัวของเซบาสเตียนยิ่งสนุกกว่าข่าวดาราในโทรทัศน์เสียอีก

หลังจากเพิ่งแต่งงานได้เพียงไม่กี่วัน และกำลังเตรียมตัวเดินทางไปฮันนีมูน เซบาสเตียนและฮีโร่ ลอร์ดและเลดี้เดฟลินก็ต้องเปลี่ยนแผนกระทันหัน เมื่อข่าวการเสียชีวิตของกาเบรียล เทนนิสันมาถึง

กาเบรียล เทนนิสันเป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของฮีโร่ ผู้ที่ไม่กี่วันก่อนคือ ฮีโร่ จาร์วิส ที่สำคัญก็คือ เธอเป็นบุตรสาวคนเดียวของลอร์ดจาร์วิส ผู้ถือเป็นอำนาจเบื้องหลังราชบัลลังค์ ลอร์ดจาร์วิสและเซบาสเตียนไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเท่าไหรนัก ตั้งแต่เล่มแรกชายผู้ฉลาดมาก ๆ ทั้งสองคนยืนอยู่คนละด้าน แม้จะไม่เคยถึงกับปะทะกันโดยตรง แต่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น แต่ด้วยความจำเป็น ฮีโร่กลายเป็นเจ้าสาวของเซบาสเตียน และต้องรับบทบาทของการรักษาความสัมพันธ์อันยากเย็น ด้านนึงคือบิดาผู้เหี้ยมโหดและทำได้ทุกอย่างเพื่อพิทักษ์ราชบัลลังค์ อีกด้านคือเซบาสเตียนที่เข้าข้างความถูกต้อง ไม่สนใจว่า จะทำให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงขนาดไหน

การตายของกาเบรียล (สำหรับคนที่สงสัย เป็นชื่อผู้หญิงนะคะ) ได้เป็นแบบทดสอบแรกของฮีโร่ เพราะตั้งแต่เมื่อทราบข่าว และเซบาสเตียนออกไปสืบหาคนร้าย (ส่วนหนึ่งเพราะกาเบรียลเป็นเพื่อนของฮีโร และเขาได้รับการขอร้องจากนักสืบสวนคดี) ฮีโรก็รู้ว่า ฆาตกรรมครั้งนี้ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังอาจจะเป็นบิดาของเธอเอง เพราะก่อนเสียชีวิต กาเบรียลกำลังหวาดกลัวใครบางคน และลอร์ดจาร์วิสก็เป็นคนที่น่าหวาดกลัวมาก

เรื่องนี้คล้ายคลึงกับเล่มก่อนหน้าในชุดด้วยการโยงเอาประวัติศาสตร์ของจริงมาเข้ากับเหตุการณ์ในเรื่อง แล้วสร้างเรื่องราวฆาตกรรมสืบสวนอันแสนน่าอ่าน กาเบรียล เทนนิสันเป็นคนในตระกูลเทนนิสัน ชนชั้นกลางที่ร่ำรวย ได้รับการยอมรับในสังคม แม้วาเธอจะเลือกที่จะอยุ่เป็นโสด แต่กาเบรียลก็ได้รับการยอมรับในฐานะของผู้เชี่ยวชาญเรื่องโบราณคดี กาเบรียลเป็นคาแร็คเตอร์ที่ถูกสร้างขึ้น แต่หลานชายของเธอที่หายตัวไปสองคน หนึ่งในนั้นคืออัลเฟรด ซึ่งต่อมากลายเป็นลอร์ดเทนนิสันคนแรกของตระกูล ความสามารถด้านการแต่งกลอนของเขาทำให้เขากลายเป็นกวีแห่งแผ่นดินในยุควิคทอเรียน อัลเฟรดไม่ได้มีบทบาทอะไรเท่าไหรในเรื่องหรอกนะคะ แต่การโยงเขาเข้าไปในเรื่องเป็นสิ่งที่ฉลาดมาก (สปอยล์) เพราะถ้าคุณรู้จักเรื่องราวของลอร์ดเทนนิสันดี ก็อาจจะเดาได้ว่า ฆาตกรในเรื่องนี้คือใคร แต่เราไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น เป็นอีกเล่มค่ะที่เดาคนร้ายไม่ถูก จริง ๆ ก็ใกล้เคียงเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับตรงทีเดียว

ขณะที่เสียชีวิต กาเบรียลกำลังอยู่ในระหว่างการขุดค้นหาตำนานโบราณคาเมล็อต การไล่ตามหาความเชื่อเก่าแก่ที่หลายคนไม่คิดว่า จะมีจริง แต่กาเบรียลปักใจว่า สถานที่ที่เธอกำลังสำรวจอยู่นั้นคือคาเมล็อต ดูผิวเผินแล้วไม่น่าจะเป็นอะไรที่นำอันตรายมาสู่หญิงสาวได้ แต่ในยามที่บ้านเมืองไม่สงบ ประชาชนที่มองดูการปฏิวัติของฝรั่งเศส แล้วมองดูเจ้าชายผู้สำเร็จราชการไม่เอาไหนของพวกเขา ความถวิลหาความยิ่งใหญ่ในอดีตของกษัตริย์อาเธอร์เริ่มเกิดขึ้น การค้นหาคาเมล็อตของกาเบรียลจึงดูเหมือนจะกลายเป็นอันตรายต่อราชบัลลังค์ และอะไรก็ตามที่เป็นอันตรายต่อราชบัลลังค์ ลอร์ดจาร์วิส จะทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดให้พ้นทาง

สำหรับคู่แต่งงานใหม่ ที่ไม่ได้เกิดจากความรัก หากแต่เป็นความจำเป็น ความสัมพันธ์ระหว่างเธอ และเซบาสเตียนถูกทดสอบ

เราขียนรีวิวเรื่องนี้ผ่านจากตัวของฮีโร่นะคะ ส่วนหนึ่งเพราะว่า เราติดใจกับเรื่องราวในส่วนของความสัมพันธ์ของตัวเอกในเรื่อง แม้ความจริงก็คือ เรื่องนี้ดำเนินผ่านสายตาของเซบาสเตียนเป็นส่วนใหญ่ และโฟกัสของเรื่องก็อยู่ที่การค้นหาตัวคนร้าย

เราสรุปกับตัวเองนะคะว่า ปริศนาในส่วนของคดีฆาตกรรมสนุกและน่าค้นหา ทำให้เราอ่านเรื่องนี้แบบวางไม่ลง แต่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างเซบาสเตียน และฮีโร่ที่ทำให้ติดหนังสือชุดนี้หนึบ

ในเล่มนี้เซบาสเตียนค้นพบเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเองมากขึ้น บางทีอาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำ การปรากฎตัวของคาแร็คเตอร์ที่สำคัญมากคนนึงได้มีบทบาท และเราเชื่อว่า เขาจะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้นกว่านี้แน่

ตอนนี้เราเริ่มรู้สึกรำคาญแม่นางโบลีนเล็กน้อยแล้วค่ะ ก่อนหน้านั้นพยายามเข้าใจนะคะ เธอคือหญิงสาวที่เซบาสเตียนรักอย่างหมดใจ การแยกจากกันของทั้งสองไม่ใช่ความผิดของคนทั้งคู่ แต่ยิ่งเราอ่าน ก็ยิ่งเห็นว่าฮีโร่คือคนที่ใช่สำหรับเซบาสเตียน ถึงแม้พระเอกจะยังมองไม่เห็นก็ตาม เข้าใจนะคะว่า เวลาในเรื่องเพิ่งไม่นาน พระเอกยังลืมรักเก่าไม่ได้ และจริง ๆ ถ้าเขาลืมได้ ก็คงไม่ใช่เซบาสเตียนคนที่เรามีใจให้ขนาดนี้ แต่ตอนอ่านฉากแคท และเซบาสเตียนมาเจอกันอีกรอบ แล้วก็เกิดอาการเซ็งค่ะ



View all my reviews

Review: Where Shadows Dance


Where Shadows Dance
Where Shadows Dance by C.S. Harris

My rating: 5 of 5 stars



เรื่องชุดนี้เป็นชุดที่ยิ่งอ่านยิ่งถลำลึก นั่นคือยิ่งติดค่ะ มาถึงเล่มนี้อย่างไม่รู้ตัวเลยนะคะ เราพบว่าตัวเองติดหนึบ และรักคาแร็คเตอร์ในชุดมาก ๆ

คงต้องบอกว่า เราแทบจะถลาไปหยิบเล่มนี้มาอ่านทันทีที่อ่าน What Remains of Heaven จบเลยล่ะค่ะ และไม่ใช่เพราะพล็อตสืบสวนหรอกนะคะที่ทำให้เรารู้สึกอยากอ่านขนาดนั้น เพราะส่วนสืบสวนในเรื่องชุดนี้ จะจบไปแต่ละเล่มโดยไม่ได้มีความสัมพันธ์กัน แต่ส่วนความสัมพันธ์ที่เราพูดหลายครั้งว่า น้ำเน่าเหลือเกินของเซบาสเตียนต่างหากที่เป็นตัวเรียกแขก เพราะแม้จะพูดว่าน้ำเน่านะคะ แต่นี่ก็คือสิ่งที่ทำให้หนังสือ และละครหลายเรื่องฮิตติดลมบน เราก็เป็นหนึ่งในแม่งเม่าพวกนั้นค่ะที่ติดกับดักของคนแต่ง ทำให้อยากรู้มาก ๆ ว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปกับเซบาสเตียน และฮีโร

พอล กิ๊บสัน เพื่อนสนิทของเซบาสเตียน ซึ่งเป็นหมอผ่าตัดที่มีความสามารถ แต่การเป็นหมอในสมัยนั้น การแสวงหาความรู้เกี่ยวกับกายภาพของมนุษย์ไม่ใช่เรื่องง่าย ความเชื่อ และกฎเกณฑ์ทางสังคม ทำให้พอลไม่อาจได้ศพมาผ่าพิสูจน์เพื่อเป็นตัวอย่างในการศึกษาต่อไปได้ นั่นทำให้พอลต้องใช้บริการของ "นักจัดหาศพ" และศพที่พอลต้องการมาใช้ศึกษาก็คือ ร่างของชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่า ๆ ที่ตายด้วยอาการหัวใจวาย

เขาต้องการศึกษาว่า อะไรเป็นเหตุผลที่ทำให้อเล็กซานเดอร์ รอสส์เสียชีวิต ทั้งที่ยังหนุ่ม และแข็งแรง พอลหวังว่า ศพของรอสส์จะทำให้เขาเข้าใจอาการเกี่ยวกับโรคหัวใจมากขึ้น แต่เมื่อได้ศพมา (อย่างไม่ถูกต้องนักหรอก) พอลก็ต้องผิดหวัง นอกจากเขาจะไม่ได้ศึกษาอะไรเลยเกี่ยวกับโรคหัวใจ เขายังได้ข้อมูลที่น่าหนักใจเพิ่มมาอีก

เพราะอเล็กซานเดอร์ รอสส์ไม่ได้หัวใจวายตาย เขาถูกฆาตกรรม ด้วยการถูกแทงที่ด้านหลังของศีรษะ บาดแผลที่หมอชันสูตรศพมองข้าม ปัญหาก็คือพอลไม่อาจแจ้งเจ้าหน้าที่ได้ เพราะเขาก็มีความผิดติดตัว (ที่ดันไปขุดศพชาวบ้านมาผ่าพิสูจน์) ทางเดียวของเขาก็คือ เรียกตัวเพื่อนรักอย่างเซบาสเตียนมาช่วยไขคดี

และคุณจะไขคดีที่ไม่มีใครรู้ว่าเกิดขึ้นแล้วได้ยังไง การเข้าไปวุ่นวายในชีวิตของอเล็กซานเดอร์ รอสส์ ทำให้เซบาสเตียนเข้าไปในวงการสายลับระหว่างประเทศ การแย่งชิงอำนาจเพื่อครองความยิ่งใหญ่ระหว่างอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย ปรัสเซีย และอาณาจักรออตโตมัน ความท้าทายที่เซบาสเตียนต้องค้นหาความจริง ในเวลาเดียวกันก็ต้องจัดเตรียมการแต่งงานของตัวเองไปด้วย เพราะในที่สุดมิสฮีโร่ จาร์วิสก็ยินยอมแต่งงานกับเขา

การแต่งงานที่เขารู้ตัวว่า ตัวเองหลงรักผู้หญิงอีกคน การแต่งงานที่เขาจำเป็นต้องแต่งเพื่อเกียรติของตัวเองและฮีโร่ การแต่งงานที่เขาต้องเอาตัวเองไปผูกพันกับศัตรูที่อันตรายที่สุดของเขา

ความน่าทึ่งของหนังสือชุดนี้ก็คือ คนแต่งพาเราเข้าไปในแง่มุมต่าง ๆ ของสังคมในยุครีเจนซี ตลอดทั้งหกเล่มไม่มีแง่มุมไหนที่ซ้ำซากจำเจ เราได้เห็นสภาพสังคมในเวลานั้น มองเห็นการแก่งแย่งชิงอำนาจทางการเมือง เกมส์การทหาร วงการศาสนา และมาในเล่มนี้ การเล่นเกมส์สืบความลับ การต่อรองอำนาจในช่วงเวลาที่นโปเลียนกำลังยกทัพไปบุกรัสเซีย และรัสเซียซึ่งเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสมาก่อนในอดีต กำลังขอความช่วยเหลือจากอังกฤษ แต่ในขณะเดียวกันอังกฤษก็ต้องรีรอดูสถานการณ์ในดินแดนปกครองของตัวเอง เพราะอีกด้านนึงอเมริกาที่เพิ่งประกาศอิสรภาพ ตั้งท่าจะรุนรานแคนาดา ซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ทำให้การข่าวเป็นสิ่งสำคัญมาก และอเล็กซานเดอร์ รอสส์ ชายหนุ่มที่ดูธรรมดา อยู่ตรงกลางของทุกอย่างนั่น

นอกจากนี้แล้วเล่มนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันอย่างชัดเจนถึงความเหมาะสมของฮีโร่ จาร์วิสในฐานะของหญิงสาวที่ยืนเคียงคู่เซบาสเตียนได้ (สปอยล์) ในฉากที่เธอถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับความพยายามกลบเกลื่อนร่องรอย ฮีโร่ถูกลักพาตัวไป และอยู่ในอันตรายจากคนร้าย ขณะที่เซบาสเตียนกำลังไปช่วยเหลือ ผู้หญิงคนนี้ก็จัดการคนร้ายด้วยตัวเอง ไม่ได้ออกแนวคิลบิลเก่งกาจขนาดนั้นหรอกนะคะ แต่เธอเอาตัวรอดได้ และไม่ต้องรอความช่วยเหลือจากใคร อ่านแล้วได้ใจเราไปเต็ม ๆ

แล้วยังมีประเด็นเรื่องเซบาสเตียน จะมาเป็นลูกเขยของลอร์ดจาร์วิสอีก ตรงนี้ฮามาก ส่วนที่สนุกของเรื่องนี้ก็คือ การต่อกรกันระหว่างเซบาสเตียน และลอร์ดจาร์วิส เพราะคนแต่งไม่ได้เขียนศัตรูของพระเอกที่ไม่เอาไหน ลอร์ดจาร์วิสก็เหมือนอีกด้านหนึ่งของเหรียญอันเดียวกับเซบาสเตียน เขาฉลาด เจ้าเล่ห์ เหี้ยมโหด และทำได้ทุกอย่างเพื่อปกป้องราชบัลลังค์ ในขณะที่เซบาสเตียนเชื่อถือในเรื่องของความถูกต้องเป็นธรรม ลอร์ดจาร์วิสเชื่อในเรื่องของหลักการ และผลประโยชน์สูงสุด แม้จะต้องแลกกับความสูญเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งคู่ไม่เคยถึงกับต้องเผชิญหน้ากันโดยตรง แต่ก็ปะทะกันหลายครั้ง และในฐานะคนอ่าน เราไม่แน่ใจนักว่า เซบาสเตียนจะชนะศึกระหว่างทั้งสองหรอกนะคะ และนั่นคือส่วนที่ดีมาก ๆ ของเรื่องชุดนี้

โดยรวมหนังสือทั้งชุด เราคงต้องบอกว่า ตอนอ่านเล่มแรกจบ อาการยังไม่หนักนะคะ แต่ยิ่งอ่านก็ยิ่งติดค่ะ ถลำตัวลึกลงไปเรื่อย ๆ ในโลกที่เซบาสเตียน เซ็นต์เซอร์อาศัยอยู่ เราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในโลกของเขา รู้จักคาแร็คเตอร์ในเรื่อง รู้จักเซบาสเตียน และมองเห็นตัวตนของเขา เห็นความมุ่งมั่น และแรงผลักดันในชีวิต เข้าไปมีส่วนร่วมในชีวิตส่วนตัวที่มั่วซั่วไม่น้อยของเขา จนจบเล่มหกก็เลยอาการหนักค่ะ ชอบไปซะทุกอย่างในหนังสือชุดนี้



View all my reviews

Review: What Remains of Heaven


What Remains of Heaven
What Remains of Heaven by C.S. Harris

My rating: 4 of 5 stars



ศพของบิชอปแห่งกรุงลอนดอนถูกพบในหลุมฝังศพใต้ดินที่เพิ่งถูกเปิดออก หลังจากถูกปิดมาเป็นเวลานาน และเซบาสเตียน เซ็นต์เซอร์ถูกขอร้องให้เข้าไปสืบคดี ครั้งนี้คำขอมาจากผู้เป็นป้า ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับอาร์คบิชอปแห่งแคนเตอร์เบอรี (ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะสงฆ์)

การตายของบิชอปเพรสค็อตต์ถือเป็นเหตุการณ์ร้ายแรง เพราะเขาเป็นนักปฏิรูปหัวรุนแรงที่กำลังผลักดันกฎหมายห้ามการค้าทาสในทุกรูปแบบ ซึ่งจะทำให้กระทบต่อฐานะทางเศรษฐกิจของผู้มีอำนาจหลายคนในแผ่นดิน นอกจากนี้เขายังเป็นตัวเต็งที่จะก้าวขึ้นเป็นอาร์คบิชอปแห่งแคนเตอร์เบอรีคนต่อไป สถานที่จะทำให้เขาทรงอำนาจมากขึ้น และสร้างปัญหามากขึ้นให้กับคนหลายคน

นั่นทำให้การสืบสวนของเซบาสเตียนยากลำบากมากขึ้น เพราะนอกจากศัตรูทางเมืองแล้ว บิชอปก็ยังมีเรื่องส่วนตัวที่ลึกลับ เพราะเขาไม่ใช่ศพลึกลับศพเดียวที่พบในหลุมฝังศพใต้ดินแห่งนั้น ก่อนหน้าเมื่อมีการเปิดหลุมศพขึ้น หลังจากปิดตายมาเป็นเวลาหลายปี มีการพบศพชายนิรนามที่ถูกมีดปักที่ด้านหลัง ศพที่ต่อมาพิสูจน์ได้ว่า เป็นพี่ชายคนโตของบิชอปเพรสค็อตต์ที่หายตัวไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนนั่นเอง

ปริศนาเริ่มซับซ้อนมากขึ้น ในแง่ของการสืบสวน เราชอบเล่มนี้มากนะคะ น่าอ่านติดตามได้สนุกไปตลอดทั้งเรื่อง นอกจากนี้แล้วเรื่องราวก็ยังโยงใยไปยังอดีตของเซบาสเตียน ที่ในที่สุด (หลังจากคนอ่านรู้มาตั้งนานแล้ว) เซบาสเตียนก็รู้เรื่องราวในอดีตของตัวเองเสียที



View all my reviews

Review: Where Serpents Sleep


Where Serpents Sleep
Where Serpents Sleep by C.S. Harris

My rating: 4 of 5 stars



รีวิวเรื่องนี้ สปอยล์เรื่องราวในสามเล่มแรกค่ะ

หลังจากอกหัก รักคุดชนิดเจ็บปวดที่สุดในชีวิต เซบาสเตียนที่เพิ่งสร่างเมาก็ได้พบกับการขอความช่วยเหลือจากคนที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน

มิสฮีโร่ จาร์วิส บุตรสาวคนเดียวของลอร์ดจาร์วิส ชายผู้เป็นศัตรูคู่แค้นของเซบาสเตียน เดินทางมาพบ และขอให้เขาช่วยสืบคดีที่เกิดขึ้น ฮีโร่เป็นคนเดียวที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์สังหารหมู่ในบ้านแมกดาเลนา ซึ่งเป็นบ้านพักฉุกเฉินของเหล่าโสเภณีที่คิดกลับใจ ฮีโร่อยู่ที่นั่นเพื่อสัมภาษณ์หญิงสาวที่เคยทำงานเป็นโสเภณี และในระหว่างที่กำลังคุยกับหญิงสาวที่ชื่อว่า โรส โจนส์ คนกลุ่มนึงก็บุกเข้ามาในบ้าน ตามหาใครบางคน แต่ไม่ลังเลที่จะฆ่าทุกคนในบ้านหลังนั้น ฮีโร่ และโรสหลบหนีออกไปจากบ้านได้ แต่โรสก็ถูกยิง และตายในอ้อมแขนของฮีโร่ก่อนที่จะหนีพ้น

เหตุการณ์นั้นหลอกหลอนหญิงสาววัยยี่สิบห้าปียิ่งนัก และเมื่อบิดาที่ทรงอิทธิพลของเธอทำทุกอย่างเพื่อปกปิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะไม่ต้องการให้ลูกสาวต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องอื้อฉาว ฮีโร่รู้ดีว่า มีชายเพียงคนเดียวในลอนดอนที่กล้าท้าทายอำนาจของลอร์ดจาร์วิส และเธอก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่า จะต้องทำอย่างไรเซบาสเตียนถึงจะตอบตกลงรับสืบสวนคดีที่เกิดขึ้น แม้ว่าเขาจะร้างลาไปจากการทำงานเช่นนี้เป็นเวลาแปดเดือน (เพราะช้ำใจที่ต้องเลิกกับแคท โบลีน เลยเมาเหล้าเละ)

การจับคู่ทำงานร่วมกันของคนสองคนที่น่าจะมาเกี่ยวข้องกันได้จึงเกิดขึ้น และทำให้เราได้มองเห็นผู้หญิงที่คู่ควรกับเซบาสเตียนอย่างเต็มตาเป็นครั้งแรก ฮีโร่ จาร์วิสไม่ใช่คาแร็คเตอร์ใหม่นะคะ เธอออกมามีบทบาทตั้งแต่เล่มแรก และถ้าเข้าใจไม่ผิด คนแต่งตั้งแต่มาตั้งแต่ต้นที่จะจับคู่เธอให้กับเซบาสเตียน แต่ก็ต้องใช้เวลาถึงสามเล่มค่ะ กว่าที่คู่นี้จะเริ่มมองเห็นกันและกัน แต่ก็แค่มองเห็นนะคะ ยังไม่ได้มีความรู้สึกลึกซื้งอะไร เพราะเซบาสเตียนไม่ใช่คนรักง่ายหน่ายเร็ว เขารักแคทเสมอ และยังไม่เคยลืมเธอ ดังนั้นในเล่มนี้ (และอีกหลายเล่ม) ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและฮีโร่จึงเป็นการพบกันของคนที่ฉลาดพอกัน มุ่งมั่นพอกัน และเติมเต็มความขาดของอีกฝ่าย (ในส่วนของข้อมูลการสืบสวน)

เช่นเดียวกับเล่มก่อนหน้า (Why Mermaids Sing) ประเด็นในเล่มนี้ก็สะเทือนใจ โดยเฉพาะเมื่อความจริงเปิดเผยเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของโรส โจนส์ หญิงสาวที่ตายในฐานะของโสเภณี แต่เธอไม่ได้เริ่มต้นชีวิตเช่นนั้น ความโชคร้าย และชะตากรรมที่ซ้ำเติม ผลักดันเธอจนมาถึงจุดนี้ และจบชีวิตของเธอเสียตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้น

จุดเด่นมาก ๆ ของเซบาสเตียนก็คือ การที่เขาอยู่ข้างของเหยื่อเสมอ และเรื่องราวของโรส โจนส์ก็บอกเล่าประเด็นนี้ได้เป็นอย่างดี และที่เหนือไปยิ่งกว่า ก็คือการผูกเรื่องซับซ้อนของเล่มนี้ เหตุการณ์ที่เริ่มต้นจากความตายของโสเภณีคนนึง ก่อนที่จะนำไปสู่พล็อตก่อการร้ายแรงครั้งนึงในประวัติศาสตร์

ตรงนี้แหละค่ะที่ทำให้เราชอบหนังสือชุดนี้ยิ่งนัก การร้อยเรียงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เข้าไปกับเนื้อเรื่องจนแยกไม่ออกว่าอะไรคือนิยาย อะไรคือความจริง เพราะทุกอย่างสอดรับเป็นเหตุเป็นผลกันไปหมด ทำให้อ่านแล้วนอกจากจะได้เรื่องราวสืบสวน ชีวิตส่วนตัวที่น้ำเน่ามาก ๆ ของเซบาสเตียน ก็ยังได้รู้เกร็ดประวัติศาสตร์ คนที่คิดว่ารู้เรื่องในยุครีเจนซีเป็นอย่างดี (จากการอ่านเรื่องแนวโรแมนซ์) เราอยากให้อ่านเล่มนี้ค่ะ เพราะได้เห็นอีกด้านนึงของยุค ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสภาพสังคม



View all my reviews

Review: Why Mermaids Sing


Why Mermaids Sing
Why Mermaids Sing by C.S. Harris

My rating: 4 of 5 stars



รีวิวอาจจะสปอยล์สองเล่มแรกในชุดนะคะ

หลังจากแสดงฝีมือไขคดีที่ซับซ้อนได้ถึงสองคดี (ในเล่มหนึง และสอง) เซบาสเตียนก็ได้รับคำเชิญจากเซอร์เฮนรี เลิฟจอย (ซึ่งเป็นคนที่ตามจับเขาในเล่มแรก What Angels Fear) ให้เข้ามาร่วมทีมไขคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง เมื่อลูกชายคนโตของชายหลายคนที่ดูไม่น่าจะมีความเกี่ยวข้องกันถูกฆ่าตายด้วยวิธีการที่คล้ายคลึงกัน ความตายที่น่าหวาดกลัวเมื่อชิ้นส่วนบางส่วนของเหยื่อถูกแล่ออก

ร่องรอยเบาะแสนำเขากลับไปเผชิญหน้ากับศัตรูเก่าอย่างลอร์ดจาร์วิส และยิ่งเมื่อสืบเข้าใกล้ความจริงมากขึ้น ด้านมืดของมนุษย์ที่ทำทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตรอดก็ยิ่งปรากฎเด่นชัดขึ้น และนั่นทำให้เซบาสเตียนต้องตั้งคำถามว่า มีอะไรที่มนุษย์ทำไม่ได้เพียงเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกแค่วันเดียว

เล่มนี้คดีที่เกิดขึ้นกระทบใจเราอย่างรุนแรงค่ะ เรานึกถึงมันหลังจากอ่านเรื่องนี้จบ และคงคิดถึงมันไปอีกนานแสนนาน (สปอยล์) ฉากที่เซบาสเตียนอ่านบันทึกของกัปตันเรือ ที่บรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ภายหลังจากลูกเรือก่อกบฎ และสละเรือ ทำให้กัปตัน และผู้โดยสารอยู่บนเรือที่กำลังจะจม ไม่มีอาหารและน้ำเพียงพอ จนสุดท้ายต้องทำให้คนเหล่านั้นตัดสินใจปลิดชีวิตของลูกเรือที่ได้รับบาดเจ็บ เพื่อแล่เนื้อ เอาเลือดของเขามากิน อ่านแล้วทั้งสยอง และหดหู่จิตใจยิ่งนัก ในขณะเดียวกันก็สะท้อนความจริงที่ว่า มนุษย์สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตรอด

ประเด็นของเรื่องนี้หนักมาก ๆ นะคะ เรามีความเห็นใจทั้งเหยื่อ และฆาตกร ซึ่งเราคิดว่า คนแต่งทำได้ดีมาก ๆ ที่สามารถดึงเอาเราลงไปในเรื่องราวได้มากขนาดนี้

ในขณะที่เซบาสเตียนพยายามสืบหาความจริง อดีตของแคทก็ตามเธอจนทัน เมื่อหญิงสาวถูกลอร์ดจาร์วิสแบล็คเมลล์ให้บอกชื่อหัวหน้าสายลับคนล่าสุดของฝรั่งเศส มิฉะนั้นจะเปิดโปงความจริงที่ว่า เธอเคยทำงานให้กับฝรั่งเศสมาก่อน ในเล่มนี้ทำให้เราได้รู้สึกจริง ๆ ว่า เซบาสเตียนรักหญิงสาวคนนี้มากแค่ไหน เพราะเมื่อเขารู้ความจริงว่า เธอเป็นสายลับให้กับฝรั่งเศส ในขณะที่เขาเสี่ยงตายต่อสู้กับฝรั่งเศส เซบาสเตียนไม่มีกระทั่งความรู้สึกสับสน รีรอ เขาทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือเธอ อย่างไม่มีข้อแม้ ในเล่มนี้เองทำให้เราเข้าใจความรักอันท่วมท้นที่เขามีต่อเธอ แต่ในขณะเดียวกันก็ยิ่งทำให้เราเห็นได้ชัดเจนว่า แคท โบลินไม่ใช่ผู้หญิงที่เหมาะกับเซบาสเตียน เธอไม่อาจควบคุมด้านมืดของเขาได้ เธอไม่ใช่คู่คิดคนที่เขาต้องการ และจำเป็นต้องมีในชีวิตเพื่อสร้างสมดุลให้กับเขา แคทอาจจะเป็นหญิงสาวที่เซบาสเตียนรักที่สุด แต่เธอไม่ใช่คนที่เกิดมาเพื่อเขา

นี่เป็นแนวคิดที่แปลกสักหน่อย โดยเฉพาะสำหรับคนที่ชอบอ่านโรแมนซ์อย่างเรา แต่ตั้งแต่เล่มแรกแล้วค่ะ เรารู้สึกว่า แคทไม่เหมาะกับเซบาสเตียน เธอไม่อาจควบคุมด้านที่ดิบของเขาได้ แต่จุดแตกหักระหว่างแคท และเซบาสเตียนในเล่มนี้ก็เป็นพล็อตแนวดาวพระศุกร์มากไปหน่อยนะ (น้ำเน่าน่ะ) จนทำให้เรารู้สึกว่า นี่เป็นจุดที่กระโดดออกมาจากธีมเรื่องชุดนี้มากไป เพราะเล่มนี้ผสมผสานทุกอย่างได้ลงตัวมาก ๆ เอาเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์มาใส่ลูกเล่น สร้างคดีฆาตกรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง ดึงเซบาสเตียนเข้าไปสืบสวน การเผชิญหน้ากันระหว่างเขาและศัตรูตัวฉกาจอย่างลอร์ดจาร์วิส ทั้งหมดนี่ทำให้ลงตัวมาก แต่เรื่องส่วนตัวของเขา โดยเฉพาะประเด็นกะแคท มันนิยายสองสลึงชัด ๆ

แต่พูดแบบนี้ก็เถอะนะ เราดีใจค่ะที่คู่นี้เลิกกันได้ซะที (ใจร้ายไปไหมเนี่ย)



View all my reviews

Review: When Gods Die


When Gods Die
When Gods Die by C.S. Harris

My rating: 3 of 5 stars



หลังจากประสบความสำเร็จในการเคลียร์ชื่อเสียงให้ตัวเองได้สำเร็จ เซบาสเตียนก็ต้องรับบทนักสืบจำเป็นอีกครั้ง คราวนี้เขาถูกล่อด้วยความลับในอดีต เมื่อศพของมาร์ชันเนสสาวสวยถูกพบอยู่กับเจ้าชายผู้สำเร็จราชการ และข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วถึงความ "บ้าคลั่ง" ของเจ้าชาย ลักษณะที่หลายคนกลัวว่าจะเป็นคำสาปของราชวงค์แฮนโนเวอร์ และนั่นทำให้ลอร์ดจาร์วิส ซึ่งเป็นอำนาจเบื้องหลังราชบัลลังค์เห็นท่าไม่ดี จึงเรียกตัวเซบาสเตียน ชายคนที่จาร์วิสถือว่าเป็นศัตรู แต่ก็เป็นคนเดียวที่น่าจะมีความสามารถในการไขคดีนี้ได้

เซบาสเตียนไม่อยากเข้ามายุ่ง แต่เพราะสร้อยที่พบบนศพของมาร์ชันเนสผู้นั้น เป็นสร้อยเส้นเดียวกับที่มารดาของเขาสวมใส่ ซึ่งถ้าแค่นั้นก็คงไม่แปลกอะไร แต่มารดาของเขาสวมสร้อยเส้นนั้นลงเรือที่ล่ม และสร้อยควรจะจมอยู่ใต้ทะเล ไม่ใช่มาปรากฎบนลำคอของศพหญิงสาวผู้น่าสงสารคนนั้น และนั่นก็มากพอจะทำให้เซบาสเตียนรับไขคดี

เบาะแสนำเขาเข้าไปในชีวิตของมาร์ชันเนส หญิงสาวผู้แต่งงานกับชายที่แก่กว่าตัวเองมากกมายสี่สิบปี เด็กสาวที่ตกหลุมรักหนุ่มข้างบ้าน แต่เขายากจนเกินกว่าจะครองคู่กับเธอได้ นั่นทำให้เธอเลือกที่จะแต่งงานกับชายแก่ ด้วยหวังว่า เมื่อเขาตาย เธอจะเป็นอิสระ แต่ไม่มีอะไรตรงไปตรงมาอย่างที่ตาเห็น การหลอกลวง การทรยศ และความรักที่ไม่น่าเกิดขึ้น พร้อมกับตอนจบที่น่าเศร้า

ในเล่มนี้เซบาสเตียนก็ได้เรียนรู้เรื่องโกหกอีกเรื่องนึงในชีวิตของเขา พร้อม ๆ กับการพัฒนาความสัมพันธ์กับคนรักสาวนามว่าแคท โบลีน หญิงสาวที่เขาปรารถนาอย่างสุดหัวใจที่จะแต่งงานด้วย แต่ด้วยภูมิหลังที่เป็นนางละคร และเคยเป็นเมียเก็บของชายมากมาย ทำให้เธอไม่เหมาะสมสำหรับบุตรชายของท่านเอิร์ล และแม้เซบาสเตียนจะไม่สนใจ แคทก็รักเขามากพอที่จะไม่ตอบตกลง สถานการณ์ความรักที่มืดมน และเป็นไปไม่ได้

เล่มนี้ยังไม่ถึงกับทำให้เราติดหนึบไปกับหนังสือชุดนี้หรอกนะคะ แต่เราชอบมากกว่าเล่มแรก และทำให้เราหยิบเล่มสามขึ้นมาอ่าน (และเล่มสามก็คือเล่มที่ "ใช่" แล้วสำหรับเรา และทำให้เรากลายเป็นแฟนหนังสือชุดนี้ไปแบบถาวร)



View all my reviews

Review: What Angels Fear


What Angels Fear
What Angels Fear by C.S. Harris

My rating: 3 of 5 stars



หนังสือชุดนี้ออกขายตั้งแต่ปี 2005 แล้วล่ะค่ะ และถ้าไม่ใช่เพราะว่า ซีเอส แฮร์ริส คนแต่งหนังสือชุดนี้ก็คือ คนคนเดียวกับแคนดิซ พร็อตเตอร์ เราก็คงจะมองข้ามไปอย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก เพราะในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา เราเน้นหนักไปกับการอ่านเรื่องแนวโรแมนซ์ จนพลาดหนังสือแนวอื่นไปเยอะมาก แต่เนื่องจากแคนดิซ พร็อตเตอร์เป็นนักเขียนที่เราชอบมาก และเสียดายไม่น้อยที่เธอเลิกเขียนโรแมนซ์ไป ทำให้เมื่อรู้ว่า เธอเปลี่ยนนามปากกา แล้วหันมาเขียนแนวสืบสวน ก็เลยตามซื้อตุนเก็บไว้ก่อน ทั้งที่ก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอกนะคะว่า จะหยิบมาอ่านเมื่อไหร

เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหกค่ะ หกปีกว่าผ่านไป เราซื้อหนังสือชุดนี้เก็บราว ๆ ปีละเล่ม จนเล่มล่าสุดซึ่งเป็นเล่มที่เจ็ดในชุดออกขายสร้างความกดดันให้กับตัวเองว่า จะต้องหยิบมาอ่านสักที ประกอบกับอารมณ์ในตอนนี้หวานซึ้งไม่ค่อยออกเท่าไหร ก็เลยตัดสินใจหยิบมาอ่าน

พอจบเล่มแรก เราคงต้องบอกว่า ไม่ได้ถึงกับทำให้เราปวารณาตัวเป็นสาวกของนักเขียนคนนี้ไปเลยหรอกนะคะ เราคิดว่า เธอเขียนเรื่องได้น่าสนใจ มีคาแร็คเตอร์ดำเนินเรื่องที่โดดเด่น ปมปริศนาในการสืบสวนที่ซ่อนเงื่อนให้ต้องใช้ความคิด ไม่ได้เดาออกง่าย ๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับจับใจ แต่เมื่อหยิบเล่มต่อ ๆ ไปในชุดนี้ขึ้นมาอ่าน เราก็ยิ่งพบว่า ตัวเองหลุดเข้าไปในโลกของหนังสือเล่มนี้มากขึ้น จนตอนนี้คงต้องบอกว่า เรื่องราวของพวกเขายังอยู่ในความคิดคำนึงของเราอยู่เลยค่ะ อย่างช้า ๆ และไม่รู้ตัว เรากลายเป็นสาวกของหนังสือชุดนี้ไปแล้วล่ะค่ะ

มีอะไรหลายอย่างมากในหนังสือชุดนี้ พล็อตสืบสวนที่คาดเดาไม่ได้ (เราทายไม่ถูกเลยสักเล่มว่าใครคือคนร้าย) แต่ส่วนที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือการผสมผสานประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงเข้าไปในเนื้อเรื่อง ซึ่งเราก็อ่านเรื่องแนวย้อนยุคสืบสวนมาเยอะนะคะ แต่ไม่เจอเรื่องชุดไหนที่ทำได้อย่างลงตัวมากเท่ากับชุดนี้ เพราะประวัติศาสตร์กลายเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเรื่อง เป็นแรงผลักดันของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้คนอ่านเข้าถึงเรื่องราวในประวัติศาสตร์ชนิดที่ไม่ใช่การบอกเล่าให้ท่องจำ แต่ผสมผสานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของตัวละคร

และแน่นอนว่า สำหรับคนชอบอ่านเรื่องแนวโรแมนซ์อย่างเรา ชีวิตส่วนตัวของเซบาสเตียน ตัวเอกของเรื่องเป็นสิ่งที่น่าติดตามมาก สำหรับเรื่องที่ไม่ใช่โรแมนซ์ และเน้นหนักที่การสืบหาความจริงในคดีฆาตกรรม ชีวิตของเซบาสเตียนยิ่งกว่าดาวพระศุกร์ในละครไทยค่ะ แต่แม้จะพูดเช่นนี้ เราก็หยุดตัวเองไม่ได้ติดตามอ่านได้

สรุปว่า อ่านจบชุดนี้ไปแล้วหกเล่ม เราคลั่งไคล้หนังสือชุดนี้อย่างรุนแรง กระทั่งสามวันหลังจากอ่านเล่มสุดท้ายจบ จิตใจของเราก็ยังวนเวียนคิดถึงเล่มนี้อยู่เลย

และเนื่องจากเหตุการณ์ในแต่ละเล่มจะค่อนข้างสปอยล์เรื่องราวในเล่มก่อนหน้า โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเซบาสเตียน ก็ขอเตือนก่อนอ่านรีวิวนะคะ เพราะเราคงจะมีการสปอลย์เรื่องในส่วนนี้ไว้บ้าง และเราพยายามไม่เล่ามาก (เกินไป) ในพล็อตส่วนสืบสวนนะคะ เพราะขอบอกว่า สนุกมาก ไม่อยากสปอยล์ อีกอย่างเราค่อนข้างฝักใฝ่ไปกับเรื่องส่วนตัวของเซบาสเตียนเป็นพิเศษ ซึ่งจริง ๆ เรื่องชุดนี้ไม่ได้โฟกัสมากอะไรเป็นพิเศษหรอกนะคะ แต่เราอดพูดถึงไม่ได้ ดังนั้นจึงเป็นการเขียนรีวิวเรื่องแนวสืบสวน แต่ดันพูดเรื่องความสัมพันธ์เยอะเป็นพิเศษ

What Angels Fear ของซีเอส แฮร์ริส

หนังสือเล่มแรกในชุด และเปิดตัวคาแร็คเตอร์หลักของเรื่อง เซบาสเตียน เซ็นต์เซอร์ ไวส์เคาท์เดฟลิน อดีตทหารผ่านสงครามที่ตอนนี้ปลดประจำการกลับมาใช้ชีวิตไปวัน ๆ ในลอนดอนอย่างไม่ใส่ใจอะไรทั้งสิ้น

ในฐานะลูกชายคนเดียวที่มีชีวิตอยู่ของเอิร์ลแห่งเฮนดอน ซึ่งถือว่า เป็นชายผู้มีอิทธิพลมากที่สุดในอังกฤษ เซบาสเตียนก็ยังไม่วายถูกลากเข้าไปพัวพันกับแผนการร้ายลึกลับ เมื่อนางละครดาวรุ่งมาแรงอย่างเรเชล ยอร์คถูกพบเป็นศพถูกฆ่าข่มขืนอย่างเหี้ยมโหดในโบสถ์แห่งนึง และข้างศพของเธอมีปืนที่ใช้ในการดวลซึ่งมีตราประจำตัวของไวส์เคาท์เดฟลินจารึกอยู่ นั่นทำให้เซบาสเตียนกลายเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งทันที

ความเป็นลูกชายของขุนนางใหญ่ในแผ่นดินอาจจะช่วยปกป้องเซบาสเตียนได้ หากลอร์ดจาร์วิส ซึ่งเป็นญาติของกษัิตริย์ และเป็นอำนาจเบื้องหลังบัลลังค์อย่างแท้จริงไม่ได้ตัิดสินใจที่จะทำให้เขากลายเป็นแพะรับบาป ลอร์ดจาร์วิสออกคำสั่งอย่างชัดเจนต่อผู้สืบสวนให้จัดการนำตัวเซบาสเตียนมาดำเนินคดีอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง ซึ่งในสมัยที่แนวคิดการปฏิวัติล้มลางกษัตริย์กำลังเฟื่องฟู นี่เป็นยุคอันตรายอย่างยิ่ง ทุกคนต้องระวังไม่ให้มวลชนรู้สึกว่า ขุนนางมีอำนาจเหนือความยุติธรรม และเซบาสเตียนกำลังจะต้องมารับเคราะห์เป็นแพะบูชายันเพื่อบรรเทาความโกรธของฝูงชนต่อคดี

เมื่อรู้ว่า ตัวเองคงไม่ได้รับความยุติธรรม อดีตทหาร และบทบาทที่สำคัญยิ่งกว่า สายลับในสงครามกับฝรั่งเศส เซบาสเตียนรู้ว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน เขาจึงเริ่มต้นสืบหาความจริงที่เกิดขึ้น ความจริงที่นำเขาเข้าไปสู่เกมส์การแย่งชิงอำนาจระหว่างขั้วการเมืองสองฝ่าย ที่ช่วงชิงความเป็นผู้นำ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่ออังกฤษกำลังจะประกาศยุคผู้สำเร็จราชการ

การตามหาความจริงทำให้ชีวิตของเซบาสเตียนหมุนกลับไปพบกับแคท โบลีน อดีตคนรักสาวที่ทิ้งเขาไปเมื่อหกปีก่อนอีกครั้ง แคทเป็นนักแสดงและเป็นเพื่อนกับเรเชล ดังนั้นเธอจึงเป็นแหล่งข่าวที่ดีในการสืบหาความจริงที่เกิดขึ้น และในขณะเดียวกัน การได้พบกันอีกครั้งก็ทำให้เซบาสเตียนประจักษ์ต่อความจริงที่ว่า เขาไม่เคยลืมเลือนเธอไปจากหัวใจเลย และสิ่งที่เขาคิดว่าเกิดขึ้นเมื่อหกปีก่อน ที่แคททิ้งเขาไป เพราะพ่อของเขาข่มขู่ว่าจะตัดเซบาสเตียนออกจากเงินของตระกูล และแคทไม่อาจใช้ชีวิตอย่างยากจนกับเขาได้ เป็นอีกเรื่องโกหกนึงในชีวิตของเขา



View all my reviews

Review: Fall Into You


Fall Into You
Fall Into You by Roni Loren

My rating: 3 of 5 stars



หลังจากพยายามอ่านเล่มแรกในชุดนี้หลายต่อหลายครั้ง แต่ไปไม่รอด เราก็ตัดใจ แล้วหยิบเล่มสองมาอ่านก่อนเลย (ไม่อย่างนั้นชาตินี้คงจะไม่ได้อ่านเป็นแน่) ผลลัพธ์ก็คือ โชคดีมากที่เราซื้อหนังสือในชุดนี้มาแล้วหลายเล่ม เพราะถ้าตามความสนุกที่เราได้จากเล่มสองอย่างเดียว เราคงเลิกอ่านงานของนักเขียนคนนี้ไปแล้วล่ะค่ะ แต่เพราะซื้อมาหลายเล่ม ก็เลยจำใจต้องอ่านเล่มอื่น ๆ ด้วย นั่นก็คือเล่มนี้ค่ะ ซึ่งเราพบว่า มันดีกว่าเล่มสอง (Melt into you) เยอะค่ะ เลยทำให้เรายังพอมีความหวังกับนักเขียนคนนี้อยู่บ้าง

ชาร์ลี โบมอนด์ (คนแต่งชอบตั้งชื่อนางเอกด้วยชื่อผู้ชายมาก ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบเลย) ได้พบกับแกรนต์ วอเตอร์อย่างบังเอิญ เมื่อเขามาช่วยเหลือเธอ หลังจากรถของเธอเกิดอุบัติเหตุ แต่หลังจากได้พูดคุยกัน ทั้งคู่ก็พบว่า ไม่ใช่คนแปลกหน้าอย่างที่คิด พี่ชายของชาร์ลีคืออดีตทหารร่วมรบกับแกรนต์ และเคยช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ ซึ่งนั่นทำให้แกรนต์ต้องยื่นมือเข้ามายุ่ง เมื่อพบว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเธอ ไม่ใช่อุบัติเหตุ หากแต่มีคนหมายจ้องเอาชีวิตของเธออยู่

เล่มนี้ค่อนข้างเป็นพล็อตแนวโรแมนติกสืบสวน ที่ส่วนโรแมนติกแท้จริงแล้วก็คือแนวอีโรติกโรแมนซ์ เราค่อนข้างโอเคกับเล่มนี้นะคะ (และถือว่าชอบเลยก็ได้ เมื่อเทียบกับ Melt into you เล่มก่อนหน้าของนักเขียนคนเดียวกันที่เราเพิ่งอ่านจบไป)

นางเอกซึ่งเพิ่งพลาดจากตำแหน่งงานที่คาดหวัง เพียงเพราะเธอดูไม่เป็นผู้หญิงพอ ทั้งที่ความสามารถด้านอื่นเหมาะสม ถือโอกาสให้แกรนต์ช่วยเป็นติวเตอร์ให้กับเธอในการสอนมารยาหญิงให้ (หลังจากที่พบว่า เขาเป็นเจ้าของคลับที่มีรีสอร์ทสำหรับคนที่มีรสนิยมด้าน BDSM) ส่วนแกรนต์ แม้จะรู้ว่าเป็นน้องเพื่อน แม้จะพยายามตัดใจ แม้จะบอกตัวเองว่า ไม่อาจมีความรักได้อีก ก็ไม่อาจห้ามใจได้

เซ็กส์ค่อนข้างฮ็อตสมกับที่เป็นอีโรติกโรแมนซ์ แต่นั่นไม่ใช่ส่วนสำคัญ เราค่อนข้างคาแร็คเตอร์ของทั้งพระเอกและนางเอก โดยเฉพาะนางเอก เธอไม่งี่เง่า และยอมรับความจริง ไม่หลอกตัวเอง ไม่ถึงกับง้อพระเอก (ที่ต่อสู้กับความรู้สึก และบอกตัวเองว่า ไม่รักเธอ) มากเกินเหตุ ที่สำคัญเรื่องนี้นางเอกมีอาชีพทำข่าวกีฬา และเรารู้สึกว่า ชาร์ลีรู้จักกีฬาจริง (ข้อนี้สำคัญมากสำหรับเรา) ในขณะที่แกรนต์ค่อนข้างเป็นพระเอกแนวมาตรฐาน ชายผู้เคยผิดพลาด และรู้สึกผิด โทษตัวเอง และไม่คิดว่าจะมีความรักได้อีกครั้ง

อ่านเล่มนี้แล้ว อาจจะไม่ได้ถึงกับทำให้รู้สึกว่า สุดยอด แต่ก็มากพอที่จะให้โอกาสนักเขียนคนนี้อีกครั้งค่ะ



View all my reviews

Review: Melt into You


Melt into You
Melt into You by Roni Loren

My rating: 2 of 5 stars



เล่มนี้ใช้พล็อตทุกอย่างที่เป็นตามสูตรในการเขียนเรื่องแนวอีโรติกโรแมนซ์ เราไม่แน่ใจเรื่องโรแมนซ์เท่าไหรนะคะ แต่มันค่อนข้างอีโรติก ดังนั้นคนที่อ่านเพื่อฉากเซ็กส์ เราแนะนำนะคะ แต่ถ้าอ่านเพื่อโรแมนซ์ บอกตามตรงว่า เราไม่แน่ใจค่ะ

เอแวน เคนเนดี้ (ชื่อนางเอกนะคะ นี่เป็นอีกจุดนึงที่ขัดตาเรามาก ๆ เพราะอ่าน ๆ ไปนึกว่าเป็นเรื่องแนว MM) ซึ่งตอนนี้มีชีวิตที่ดูภายนอกแสนจะสมบูรณ์แบบ มีคู่หมั้นเป็นนักจัดรายการทีวีชื่อดัง แต่แท้จริงแล้วคู่หมั้นของเธอเป็นเกย์ และเอแวนก็เป็นแค่ฉากหน้าที่มีเพื่อปิดบังความจริงนั้น

แต่เธอก็ยังคิดว่า การแต่งงานจะประสบความสำเร็จ ถึงเธอจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว กับสามีที่มีคนรักอยู่ข้างกาย แต่คู่หมั้นของเธอก็ยังใจดี และเข้าใจมาก ๆ เพื่อให้เอแวนไม่แห้งเหี่ยวตายไปซะก่อน เขาซื้อบัตรสมาชิกในคลับเซ็กส์สุดหรูให้กับเธอ แถมยังออกเงินส่งเธอไปพักผ่อนยังรีสอร์ทสุดหรูเพื่อมีเซ็กส์กับผู้ชายในนั้น

แน่ล่ะว่า คนที่เธอเจอก็คือผู้ชายในอดีต ผู้ชายคนแรกที่เธอตกหลุมรัก ในขณะที่เป็นเด็กกำพร้า และอาศัยอยู่ในบ้านอุปถัมภ์ (ซึ่งก็คือพ่อแม่ของฝ่ายชาย) และชายคนนี้เองที่ทำให้เธออกหัก และตามสูตร เอแวนต้องตั้งท้องออกเร่ร่อน แล้วในที่สุดก็ต้องยกลูกให้กับคนอื่น ทำให้กลายเป็นแผลในใจมาจนถึงทุกวันนี้

ที่มากไปกว่านั้น เจซ (ชายหนุ่มที่กล่าวถึง) ต้องมีรสนิยมพิเศษ นั่นคือไม่นอนกับผู้หญิงคนไหนตามลำพัง จะต้องมาเป็นคู่กับเพื่อนสนิท และ ให้เป็นไปตามสูตรอีก เพื่อนคนนี้จะต้องแอบรักเจซ และอยากมีเซ็กส์กับเขา แต่ไม่กล้าบอก

ทั้งสามคน (พระนาง และเพื่อนสนิท) พบกัน มีเซ็กส์กัน สอนเอแวนถึงเซ็กส์ที่ดี คู่หมั้นของเธอไม่ดี การแต่งงานไม่เกิดขึ้น แล้วทั้งสามคนก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

ไม่ได้มีอะไรเลวร้ายเป็นพิเศษในเรื่องนี้นะคะ แต่อย่างที่บอก เราอยู่ในโหมดอารมณ์โหด เราเลยมองทุกอย่างแย่กว่าที่มันเป็น เราพบว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรใหม่ ไม่มีอะไรน่าสนใจ มีแต่เซ็กส์ (รู้ค่ะว่า ไม่ควรโทษเรื่องนี้เพราะมีเซ็กส์มากเกินไป เนื่องจากเป็นอีโรติกโรแมนซ์ แต่อารมณ์ไม่ดีไงคะ) จนเราไม่รู้สึกถึงความรัก ความรู้สึกที่เกิด เราพบว่าพล็อตเป็นไปตามสูตร มีคลับสำหรับคนที่มีรสนิยมพิเศษ (เบื่อพล็อตคลับมาก ๆ มาก ๆ มาก ๆ) มีชายสองคนที่เป็นเพื่อนกันมาตลอดชีวิต แชร์ผู้หญิงด้วยกัน แล้วก็ในที่สุดก็รู้ว่า รู้สึกบางอย่างต่อกัน (เอาอีกแล้ว) แล้วชายทั้งคู่ก็รักผู้หญิงคนเดียวกัน เพราะอะไรนั้นเราก็ไม่รู้ค่ะ อ่านแล้วไม่เก็ตเรื่องความรัก ได้แต่เซ็กส์ (อย่างที่กล่าวไป)

ถ้าจะอ่านเล่มนี้เพราะฉากเซ็กส์ (ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดอะไรนะคะ) เราก็แนะนำค่ะ แต่ถ้าคาดหวังอะไรที่มากกว่านี้ หาเล่มอื่นดีกว่าค่ะ (แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายนะคะ เราบอกตามตรงว่า ไม่ค่อยได้เจอเรื่องแนวอีโรติกโรแมนซ์ที่เขียนได้ลึกทางอารมณ์)



View all my reviews

Review: Bastian's Storm


Bastian's Storm
Bastian's Storm by Shay Savage

My rating: 2 of 5 stars



หลังจากบ่นว่า เล่มแรกในชุดเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ จนน่าเบื่อ (มาก ๆ ในครึ่งหลังของเล่ม) เล่มนี้ก็เลยเป็นหนังสือแนวบู๊แอ๊คชั่น เสียจนในส่วนของโรแมนซ์ดูอ่อนด้อยไป แต่เราก็คิดว่า คนแต่งคงไม่ได้ตั้งใจให้เล่มนี้เป็นแนวโรแมนซ์เต็มตัวอยู่แล้ว จึงไม่ได้ถือว่าเป็นข้อเสียหรอกนะคะ

หลังจากกลับคืนสู่โลกศิวิไลซ์ (เมื่อเรือแตกแล้วไปติดเกาะกันสองคนในเรื่อง Surviving Raine) บาสเตียนและเรนน์ก็เริ่มต้นการใช้ชีวิตด้วยกัน ไม่ได้อย่างผาสุขมากนัก เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนที่เพิ่งเลิกเหล้า และมีอดีตอันเลวร้ายอย่างบาสเตียนที่จะปรับตัวให้เข้ากับชีวิตของนักศึกษามหาวิทยาลัยที่มองโลกสวยอย่างเรนน์ได้ ทุกอย่างจึงเป็นการฝืนความรู้สึกตัวเอง เพราะแม้จะแน่ใจว่า ตัวเองรักเรนน์ และไม่อาจขาดเธอได้ แต่โลกที่เธออาศัยอยู่ มันช่างแตกต่าง และห่างไกลจากสิ่งที่เขาคุ้นเคย

เรื่องยิ่งยุ่งมากขึ้นไปอีก เมื่อคนจากอดีตเดินกลับเข้ามาในชีวิต พร้อมทั้งข้อเสนอที่เขาไม่อาจตอบปฏิเสธได้ ให้กลับไปสู่โลกเดิมที่บาสเตียนวิ่งหนีออกมา การกลับไปที่ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน

เรารู้สึกว่า เล่มนี้บาสเตียนกลายเป็นคาแร็คเตอร์ที่น่ารำคาญมาก ๆ จริง ๆ ว่าไป เขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเล่มแรกหรอกนะคะ แต่เรารู้สึกว่า ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยน และเราอาจจะยึดติดกับคอนเซ็ปต์ของโรแมนซ์ที่ว่า ความรักเยียวยาได้ทุกอย่าง เรารู้สึกว่า ตอนต้นเรื่องเขากลายเป็นคนขี้บ่น และไม่ปรับตัวมาก ๆ ซึ่งถ้าว่ากันตามจริง เราว่าเรื่องก็เขียนได้ตามความเป็นจริงนะคะ เพราะเรื่องนี้เปิดเรื่องต่อเนื่องกับตอนจบของ Surviving Raine ทันที บาสเตียนที่ตอนท้ายเรื่องในเล่มแรกมีปัญหาในการปรับตัวเข้าสังคม มาเล่มนี้ตอนต้นเรื่องก็ย่อมจะยังมีปัญหานั้นอยู่ ไม่สำคัญว่า เขาจะยอมรับความรู้สึกที่มีต่อเรนน์หรือไม่ก็ตาม แต่แม้จะเข้าใจที่มาที่ไปของตัวละคร (ว่าทำไมถึงได้นิสัยอย่างนั้น) เราก็อดรำคาญไม่ได้ค่ะ และรู้สึกว่า เรนน์ต้องเป็นแม่พระมาก ๆ จึงได้ทนกับพฤติกรรมของบาสเตียนขนาดนี้

และนั่นนำมาสู่คาแร็คเตอร์ของเรนน์ เมื่อเปรียบเทียบเธอกับลีอา (ซึ่งเป็นนางเอกในชุดเอแวน อาร์เดน) เราชอบเธอมากกว่า และคิดว่า มีความสมจริงมากกว่า กระนั้นก็อดไม่ได้นะคะว่า คนแต่งเขียนตัวละครผู้ชายอย่างสมจริง คือมีข้อผิดพลาด มีรอยแผล แต่เธอเขียนคาแร็คเตอร์นางเอกแบบสมบูรณ์แบบ ในแง่ที่ว่า พวกเธอช่างอดทนมาก ๆ แต่ถ้าไม่อดทน ความสัมพันธ์ก็คงต้องจบไปแล้ว โดยเฉพาะเมื่อบาสเตียนเป็นคนอย่างที่เขาเป็น

ทั้งหมดนั่นทำให้ในแง่ของโรแมนซ์ไม่มีความน่าสนใจเอาเสียเลย เพราะบาสเตียนทำตัวแย่ ๆ ส่วนเรนน์ก็รับบทแฟนคนดีที่ยอมรับเขาได้แบบที่เขาเป็น ซึ่งก็ดีนะคะ เพราะเธอเข้าสู่ความสัมพันธ์โดยรู้แล้วว่า เขาเป็นคนยังไง คือถ้ามาบ่น หรือเรียกร้องให้บาสเตียนเปลี่ยน เราอาจจะหมั่นไส้เธอขึ้นมาแทน แต่มันทำให้เรื่องส่วนโรแมนซ์หยุดนิ่ง ไม่มีพัฒนาการเลยแม้แต่นิดเดียว แต่นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่คนแต่งต้องการก็ได้ เพราะสิ่งที่ผลักดันหนังสือเล่มนี้ คือส่วนบู๊แอ็คชั่น

เราคิดว่า คนแต่งเขียนฉากต่อสู้ได้ดี โดยเฉพาะช่วงท้ายเรื่อง อ่านสนุกค่ะ ปัญหาก็คือ เราต้องการความซับซ้อนมากกว่านี้ เราชอบอ่านหนังสือบู๊นะคะ แต่มันไม่ใช่แค่ฉากต่อสู้ ต้องเป็นที่พล็อตเรื่องด้วย เรารู้สึกว่า หนังสือเล่มนี้มันตรงไปตรงมาเกินไป กระทั่งตัวละครอย่างบาสเตียนก็ไม่ได้น่าสนใจพอที่จะทำให้เราอ่านเรื่องเขาได้ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบเขากับเอแวน อาร์เดน (ซึ่งเป็นพระเอกหนังสืออีกชุดนึงของคนแต่งคนเดียวกัน) ซึ่งมีความสำคัญกับพล็อตของเล่มนี้ไม่น้อย

บอกตามตรงว่า หลังจากเราอ่านเรื่องของเอแวนมาแล้ว เราพบว่าเขามีความลึกที่น่าสนใจมากกว่า และในเล่มนี้เขาก็ขโมยซีนแบบกินขาด ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลยที่เกิดขึ้นกับ "พระเอก" ของเรื่อง เพราะมันจะดีได้ยังไงคะ ในเมื่อเราควรจะแคร์ความเป็นไปของบาสเตียน แต่สิ่งเดียวที่อยู่ในความคิดของเราหลังจากอ่านเล่มนี้จบไปก็คือ เราอยากอ่านเรื่องของเอแวนต่อ




View all my reviews

Sunday, June 22, 2014

Review: Surviving Raine


Surviving Raine
Surviving Raine by Shay Savage

My rating: 2 of 5 stars



เราอ่านงานเขียนของเชย์ ซาเวจมาก่อน (กับชุดเอแวน อาร์เดน) ไม่ได้ถึงกับคลั่งไคล้ จึงไม่ได้ถึงขนาดไปไล่ตามงานเล่มอื่น ๆ ของเธอมาอ่านหรอกค่ะ แต่เพราะหนังสือเล่มใหม่ล่าสุดของเธอ (Bastian's Storm) ซึ่งเป็นเล่มสองในชุดนี้ ดันโยงเข้าไปเกี่ยวข้องกับชุดเอแวน อาร์เดน (ซึ่งแม้เราจะบอกว่า อ่านจบก็งั้น ๆ แต่ในแง่คาแร็คเตอร์ เราชอบเอแวนมาก ๆ ค่ะ) ก็เลยทำให้เราเกิดแรงฮึดไปหยิบเล่มนี้มาอ่าน เพื่อเตรียมตัวอ่านเล่มสอง

พออ่านเข้าจริง คงต้องบอกว่า ดีกว่าที่คิด (แต่แค่สองดาว เพราะตอนนี้อารมณ์ไม่ดีค่ะ กดคะแนนทุกอย่าง) อันที่จริงช่วงต้นเรื่องถือว่าสนุกมาก ๆ เลยล่ะ เพียงแต่เนื้อเรื่องหยุดอยู่กับที่ ไม่มีพัฒนาการ เราก็เลยเบื่อช่วงครึ่งหลังของเรื่องมาก ๆ อีกอย่างเราไม่ชอบเรื่องติดเกาะ

เรื่องถูกเล่าผ่านคาแร็คเตอร์ที่เป็นผู้ชาย (อันเป็นสไตล์การเขียนของคนแต่งที่โดดเด่น และทำให้เราอ่านหนังสือของเธอในตอนแรก) ซึ่งเล่มนี้คือกัปตันเรือนามว่า เซบาสเตียน ชีวิตเขาไม่มีอะไรมาก แค่การดื่มเหล้า และรอวันตาย บอกได้แค่นั้น (มีส่วนเล็ก ๆ แต่เล็กมาก ๆ นะคะ ทำให้เรานึกถึงกัปตันเอแฮป) จนกระทั่งวันนึงบางอย่างเกิดขึ้น และเรือที่เขาควบคุมจมลง เซบาสเตียนไม่รู้ว่ามีใครรอดชีวิต แต่เขาช่วยชีวิตเด็กสาวได้หนึ่งคน ทั้งคู่ล่องลอยไปในทะเลกว้างพร้อมกับอุปกรณ์ยังชีพไม่กี่ชิ้น

เมื่อถึงจุดนั้น คนอ่านเริ่มรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเซบาสเตียนมากขึ้น ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้วิธีเอาชีวิตรอดในสถานการณ์เช่นนั้น ดังนั้นจึงเป็นโชคดีของเรนน์ที่เธอมีเซบาสเตียน แม้เขาจะปากร้าย โมโหง่าย และชอบใช้ความรุนแรง อย่างช้า ๆ เซบาสเตียน และเรนน์เริ่มเปิดใจเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ที่นำพาพวกเขามาถึงจุดที่เป็นอยู่

เราชอบช่วงติดอยู่ด้วยกันบนแพนะคะ เราชอบการเล่าเหตุการณ์ในอดีต เพราะทำให้เรารู้จักตัวละครมากขึ้น แม้ว่า ความเกี่ยวพันที่ว่า เซบาสเตียนเป็นพยานในการไต่สวนคดีฆาตกรรมพ่อของเรนน์มันช่างไม่น่าเชื่อ และบังเอิญเกิดเหตุ รวมไปทั้งความไม่สมเหตุสมผลที่เรนน์ไม่รู้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับบิดา อ่านแล้วงงมาก เพราะเรื่องบอกว่า ศาลมีการตัดสินจำคุกคนที่ก่อคดี แสดงว่า มีการไต่สวน แต่เรนน์ซึ่งเป็นญาติคนเดียว ทำไมถึงไม่มีสิทธิเข้าไปนั่งฟัง รายละเอียดพวกนี้แหละที่ทำให้ดาวมันหดหาย แต่การนั่งเล่าเรื่องให้กันและกันฟังไปมา มันก็ย่อมมาถึงจุดที่น่าเบื่อ และนี่เองเป็นจุดด้อยมากที่สุดในเรื่อง

ถ้าเรื่องนี้เป็นหนัง เราก็คงต้องบอกว่า คนเขียนบทประหยัดค่าตัวนักแสดงไปหน่อย เพราะทั้งเรื่องมีแค่เซบาสเตียน และเรนน์ การได้เห็นมุมมองของเซบาสเตียนที่เขาเป็นคนเล่าเรื่องก็สนุกดีค่ะ แต่มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ทุกอย่างเป็นเรื่องอดีต การโทษตัวเอง แล้วก็กลับไปอดีตใหม่อีกรอบ ดังนั้นเมื่ออ่านไปครึ่งเล่มเราก็ถึงจุดที่ต้องบอกว่า พอเถอะนะ

แต่เรื่องก็ยังดำเนินไปในแนวนั้นอยู่ เพราะหลังจากติดอยู่ด้วยกันบนแพล่องไปในมหาสมุทร ทั้งคู่ก็พบเกาะ เลยมาติดเกาะแทน ก็ยังอยู่ด้วยกันสองคนอีก

ดังนั้นหากจะว่ากันตามจริงก็คือเราเบื่อน่ะค่ะ มันเป็นการพูด แล้วก็พูด แล้วก็พูด (หรือเป็นการคิด) แต่ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเลย

ตอนท้ายเรื่องพิสูจน์สิ่งที่เราคิดนะคะ เพราะเมื่อมีคนมาช่วยทั้งสองออกจากเกาะ เรารู้สึกว่า เรื่องน่าสนใจเพิ่มมากขึ้นมาหน่อย แต่มันก็สายเกินไปแล้ว





View all my reviews

Review: A Shiver of Light


A Shiver of Light
A Shiver of Light by Laurell K. Hamilton

My rating: 3 of 5 stars



เราแปลกใจพอสมควรที่เห็นเรื่องนี้ออกขาย อย่างที่เราเคยเขียนไปในรีวิวเล่มก่อนหน้า (โดยเฉพาะ Swallowing Darkness) ว่า สำหรับเราแล้ว เรื่องนี้ชุดนี้ได้ปิดตัวไปแล้ว ปมประเด็นต่าง ๆ ล้วนลงเอยในที่ที่ควรเป็น ดังนั้นเราจึงเฉย ๆ ไม่ได้ตื่นเต้นดีใจมากมายอะไรเมื่อเรื่องนี้ออกขาย

กระนั้นเราก็ยังควักเงินจ่ายราคาปกแข็ง (แต่เป็นอีบุ๊ค) มาอ่าน แล้วก็อ่านเกือบจะในทันทีที่หนังสือวางขาย เพราะไม่ว่าจะพูดยังไง หรือคิดว่า ตัวเองคิดยังไง หนังสือชุดนี้ก็ผูกพันกับเรามาก ๆ ถึงเราจะเห็นว่า ทิศทางของมันเปลี่ยนแปลงไป หรือรู้สึกว่า คนแต่งออกทะเลไปเยอะ แต่เราตัดใจไม่ลงจริง ๆ ค่ะ

ซึ่งเมื่อได้อ่านก็ตอกย้ำความจริงชัดเจนมาก ๆ เพราะครั้งสุดท้ายที่เราอ่านหนังสือในชุดนี้ ก็คือหนังสือเล่มก่อนหน้าเล่มนี้ (เล่มแปดในชุด Divine Misdemeanors) นั่นก็เมื่อห้าปีก่อน ถ้าเป็นหนังสือเล่มอื่น กระทั่งเรื่องที่เราชอบมาก ๆ ก็ตาม เราคงจะจำชื่อตัวละครไม่ได้ เราอาจจะจำพระเอกนางเอกได้ แต่คงนึกเหล่าตัวประกอบไม่ออกเป็นแน่ แต่เมื่อเราหยิบเล่มนี้มาอ่าน ทุกอย่างยังอยู่ในความทรงจำ เราจำตัวละคร ลักษณะนิสัย ภูมิหลังของพวกเขาได้ทุกคน ราวกับไม่มีเวลาห้าปีมากั้นขวางไว้เลย

อย่างไรก็ตาม เราคงต้องเขียนรีวิวเตือนว่า เล่มนี้ไม่เหมาะกับคนที่ไม่เคยอ่านเรื่องชุดนี้มาก่อน และเราไม่รู้นะคะว่า คนที่เคยอ่านเล่มก่อนหน้ามาแล้วจำเป็นจะต้องอ่านเล่มนี้ไหม

เพราะในส่วนของเนื้อหา เอาเข้าจริง ๆ แล้ว เรียกว่าไม่มีอะไรเลย คล้ายคลึงกับเรื่อง Divine Misdemeanors มาก ๆ นั่นคือเหมือนการเล่าเรื่องชีวิตประจำวันของเมอรี่ ไม่มีความขัดแย้ง หรือมีแต่ไม่ถูกนำมาเป็นประเด็นในต้องสนใจด้วยซ้ำ

ในที่สุดหลังจากตั้งครรภ์อยู่ห้าปี (อันนี้คิดตามเวลาที่หนังสือเล่มสุดท้ายก่อนเล่มนี้ออกขาย จริง ๆ ก็ท้องเก้าเดือนเท่ามนุษย์ปกตินั่นแหละ) เจ้าหญิงเมอร์รีแห่งภูติอันซีลีย์ก็คลอด และไม่ใช่แค่แฝดสอง แต่เป็นแฝดสาม (และนั่นหมายความว่า มีพ่อมากกว่าที่คาดการณ์กันเอาไว้) ในขณะเดียวกัน ราชาแห่งบัลลังค์ซีลีย์ ผู้เป็นลุงของเธอ ก็ยังตามราวีไม่เลิก ด้วยการอ้างสิทธิความเป็นพ่อของเด็กที่เกิด แต่เรื่องราวเป็นไปแบบเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ มาก ชนิดที่เราคิดว่า จะต้องมีแต่แฟนพันธุ์แท้ของหนังสือชุดนี้เท่านั้นที่จะอ่านได้อย่างมีความสุข (ซึ่งเราอ่านอย่างมีความสุขนะคะ เพราะเราเป็นแฟนพันธุ์แท้ของชุดนี้

เรื่องเราแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนเกือบจะถึงตอนท้ายเรื่อง แล้วทุกอย่างมันก็ระเบิดใส่หน้าเรา เมื่อมีการลอบสังหารเกิดขึ้น และโชว์โต้ตาย ขอบอกว่า มันช็อคชนิดที่ตอนนี้เราก็ยังเรียกสติดตัวเองกลับมาได้ไม่ครบ ไม่ใช่เพราะหนึ่งในผู้ชายของเมอร์รีตายหรอกนะคะ แต่เป็นจังหวะเวลาที่เกิดขึ้น เพราะอย่างที่บอก เราคิดว่า Swallowing Darkness คือตอนจบของเทพนิยายเรื่องนี้ เรื่องราวที่เหลือก็เหตุการณ์หลังจาก Happily Ever After เราไม่คาดคิดว่า โชว์โต้ที่รอดตายมาจากเหตุการณ์ที่เลวร้ายกว่านี้ ในสถานการณ์ที่ไม่ควรจะรอด จะมาตายในเล่มนี้ ถ้าคนแต่งต้องการช็อคคนอ่าน เธอก็ทำได้ตามความตั้งใจ





View all my reviews

Review: Mistral's Kiss


Mistral's Kiss
Mistral's Kiss by Laurell K. Hamilton

My rating: 3 of 5 stars



ไม่ได้ถึงกับเป็นการรีวิวเท่าไหรนะคะ เป็นการพร่ามถึงความคิดของเราในขณะที่อ่านเรื่องนี้มากกว่า (เราเอาสิ่งที่ตัวเองเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้นานแล้วที่บลอกเดิมมาลงใน GR น่ะค่ะ)

ไม่ใช่หนังสือแนวโรแมนซ์ แม้ว่าประเด็นที่แฟนหนังสือชุดนี้พูดกันมาตลอดก็คือ ใครกันแน่ที่จะเป็นพระเอกของเมอรี่ เป็นหนังสือชุดแฟนตาซีที่ไม่แน่นำให้เด็กอ่าน และขอบอกว่าคนที่ชอบโรแมนซ์แบบอนุรักษ์นิยมก็ไม่ควรอ่าน เพราะเรื่องนี้นางเอกมั่วอ่ะ

ก่อนได้หนังสือสิ่งที่เรากลัวที่สุดก็คือ มิสทรัลจะกลายเป็นพระเอกของเมอรี่ ยิ่งได้รับการยืนยันจากเพื่อนว่ามิสทรัลเป็นตัวละครที่ออกในเล่มแรกของชุดด้วย ก็ยิ่งเครียด เพราะลอเรล เค. แฮมิลตัวคนแต่งประกาศไว้อย่างชัดเจนว่าพระเอกของเมอรี่จะต้องมีบทในเล่มแรกของชุด เราสบายใจเพราะตอนอ่านเล่มแรกไม่เจอว่ามิสทรัลมีบท แต่แล้วก็ฝันสลายเพราะเพื่อนยืนยันว่าอ่านเจอเขาออกมาเดินผ่านฉากหน่อย

ก็แหมอุตส่าห์ลุ้นเชียร์หลายคน สุดท้ายจะเป็นตามิสทรัลนี่หยิบชิ้นปลามันไปกินเหรอ แต่ลอเรลก็ไม่เคยเขียนชื่อตัวละครตัวไหนเป็นชื่อเรื่องมาก่อน นอกจากตามิสทรัลคนนี้

แต่หลังจากอ่านจบ ข้อสรุปที่ได้ก็คือ

ดอยล์ เป็นดอยล์เสมอมา และเรื่องนี้ก็ยิ่งเน้นย้ำว่าเป็นดอยล์

สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านหนังสือชุดเมอรี่ เจนทรี้คงงงว่าเราพูดเรื่องอะไร ดังนั้นขอใช้เวลาแนะนำนิดหน่อย เพื่อจะหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ได้

เมอรี่ เจนทรี้เป็นเจ้าหญิงแห่งภูติองค์แรกที่เกิดในอเมริกา และเธอแตกต่างจากภูติตนอื่น เพราะเธอไม่ใช่อมตะ ชีวิตของเธออาจจะยาวไกลกว่ามนุษย์ แต่เธอมีวันตายที่จำกัด และนั่นทำให้เธอเป็นที่รังเกียจในสังคมแห่งภูติที่บูชาความเป็นอมตะ

ในฐานะทายาทอันดับสามแห่งราชบัลลังค์แห่งภูติของ Unseelie Court เธอถูกตามฆ่าจากมือสังหารจนสุดท้ายเพื่อรักษาชีวิตตัวเอง เธอจึงต้องหลบหนีออกจากราชสำนัก และซ่อนตัวอยู่ในลอสแองเจลิสด้วยการทำงานเป็นนักสืบเอกชน เป็นเวลากว่าสามปีที่เธอต้องปกปิดความเป็นภูติเพื่อรักษาชีวิต แต่แล้วมือสังหารจากป้าผู้เป็นราชินีแห่ง Unseelie Court ก็ตามหาเธอจนเจอ

เขาคือความมืด ชื่อเรียกตามสีผิวที่ดำสนิทเสียยิ่งกว่ากลางคืน เขาเป็นมือขวาของราชินี น่าแปลกที่เขาไม่ได้มาเพื่อปลิดชีวิตของเธอ เขามาเพื่อยื่นข้อเสนอแห่งสันติจากราชินี เพื่อเชิญเธอให้กลับไปยัง Unseelie Court อีกครั้ง

ข้อเสนอที่นำมาให้เธอขยับเข้าใกล้กับบัลลังค์แห่ง Unseelie Court ถ้าเพียงแต่เธอสามารถมีลูกได้ก่อนเซลลูกชายของราชินี

แอนดาอิสพบว่าตัวเองไม่สามารถมีลูกได้อีก และความเจริญพันธุ์ของผู้นำเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำรงอยู่ของชนเผ่า ถ้าผู้นำเป็นหมัน ทุกอย่างก็จะจบลงสำหรับภูติ ดังนั้นแม้ว่าแอนดาอิสจะรักเซล ลูกชายของเธอเพียงใด เธอก็จำเป็นต้องให้โอกาสเมอรี่ในการแข่งขันเพื่อสิทธิในบัลลังค์ที่เธอครอบครองอยู่ เพราะถึงอย่างไร เธอก็ยังต้องนึกถึงส่วนรวมมากกว่า

แอนดาอิสให้สิทธิเมอรี่ในการเลือกกลุ่มองครักษ์ของเธอในการเป็นผู้จะช่วยให้เธอตั้งครรภ์ (หนังสือเล่มนี้ไม่เหมาะกะเด็ก เตือนไปแล้วรึยัง) หลายคนเลือกที่จะประกาศตนเป็นอริกับราชินีด้วยการสาบานตนเข้ารับใช้เมอรี่ หนึ่งในนั้นคือดอยล์

บรรดาแฟนหนังสือชุดนี้ต่างคาดเดากันไปต่างนานาว่าใครที่จะเป็นพระเอกของเมอรี่ เกือบทุกครั้งที่มีการพูดคุยกัน จะต้องมีชื่อของดอยล์ร่วมอยู่ด้วย ไม่ว่าคุณจะเชียร์เขาหรือไม่ก็ตาม

เราไม่เคยเชียร์ดอยล์ แต่ก็ยอมรับว่าคนที่เราหนุนหลังอย่างฟรอสต์ (มือซ้ายของราชินี) หลังจากเล่มสองที่ออกอาการสติแตก และงอนอย่างไร้เหตุผลก็แทบจะหมดสิทธิความเป็นพระเอก

เราก็หันมาหนุนหลังโชลโต้ ราชาแห่งสัตว์ประหลาด (เรียกชื่อไม่ถูกอ่ะ) แต่แล้วในเล่มนี้โชลโต้ก็ออกอาการสติแตกอีกราย แถมรัศมีดอยล์ส่องประกายมาก

ส่วนตามิสทรัลเหรอ ยังคงรักษาความเท่ห์ไว้ได้ แต่ดูแล้วก็ยังไม่มีแววพระเอกเท่าไหร (ถอนหายใจด้วยความโล่งอก)



View all my reviews

Review: A Lick of Frost


A Lick of Frost
A Lick of Frost by Laurell K. Hamilton

My rating: 3 of 5 stars



ถ้าคุณไม่ได้อ่านเล่มหนึ่งถึงห้ามา ก็คงอ่านที่เราเขียนไม่รู้เรื่องเป็นแน่ แล้วก็บอกต่ออีกว่า งานนี้สปอยล์นะคะ

หลังจากออกทะเลเปิดไปกับ Mistral's Kiss ลอแรลก็กลับมาแล้ว จากข่าวที่ได้ยินก็รู้สึกว่าเป็นเช่นเดียวกันนี้กับหนังสืออีกชุดที่ดังไม่แพ้กันของเธออย่างอนิต้า เบลก ที่เธอตัดฉากเซ็กส์ออก แล้วเน้นที่เนื้อเรื่องมากขึ้น

หลังจากให้เวลามากกว่าสามเล่มไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงวันสองวัน ในฟรอสต์เล่มนี้เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วหลังจากตอนจบในมิสทรัล เมื่อบอดี้การ์คและคู่รักของเธอสามคนถูกกล่าวหาโดยกษัตริย์แห่งบัลลังค์ซีลี่ว่าข่มขืนหนึ่งในผู้หญิงแห่งราชสำนักของเขา

เรื่องเปิดขึ้นเมื่อฝ่ายเมอรี่และทนายความของเธอเผชิญหน้ากับบรรดาอัยการที่ต้องการเอาผิดพวกเธอ นี่เป็นการเริ่มต้นของเรื่องราวที่สนุกขนาดที่คุณวางไม่ลง

หลายฉากในเรื่องสะท้อนเป็นอย่างดีเกี่ยวกับค่านิยมของตัวละครที่เป็นภูติซึ่งคิดไม่เหมือนมนุษย์ (ดังนั้นจึงเอาค่านิยมของมนุษย์ไปวัดไม่ได้) ซึ่งเป็นประเด็นที่ลอแรลพยายามสื่อตั้งแต่เขียนเรื่องชุดนี้เล่มแรก (และนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่เราชอบชุดนี้มากกว่าอนิต้า เพราะอนิต้ายังมีกลิ่นของโลกมนุษย์ที่เรารู้จักกันดีอยู่ครบถ้วน ทำให้เรารับไม่ได้กับพฤติกรรมมั่วเซ็กส์ของอนิต้า ในขณะที่โอเคกับการกระทำของเมอรี่)

หนึ่งในข้อกล่าวหาที่บอดี้การ์ดของเมอรี่โดนอ้างว่าเป็นสาเหตุทำให้พวกเขาต้องไปข่มขืนหญิงสาวแห่งราชสำนักซีลี่นั่นก็คือ บรรดาบอดี้การ์ดเหล่านี้โดนบังคับให้รักนวลสงวนตัวไว้ให้ราชินีแห่งอันซีลี่เป็นเวลาหลายพันปี พอถูกปล่อยผีมาให้กับเมอรี่จึงเกิดออกการลงแดง เพราะเมอรี่ให้บริการไม่ทัน ก็ดันมีบอดี้การ์ดตามมาถึง 16 คนทีเดียว

บทสนทนาระหว่างเมอรี่และอัยการสื่อความแตกต่างระหว่างค่านิยมของมนุษย์และภูติที่แตกต่างกันได้เป็นอย่างดี

"And there are now sixteen of you with access only to Princess Meredith for your, um, needs?" ฝ่ายอัยการพูดไปอายไป

"If you mean for sex, then yes" ดอยล์ (หนึ่งในสองบอดี้การ์คที่เมอรี่สารภาพว่ารัก) ตอบ

"I imagine it must be difficult to share the princess"

"I'm not certain I understand the question" (นั่นเพราะภูติจะแต่งงานกันไม่ได้จนกว่าจะพิสูจน์ว่า อยู่กันแล้วมีลูกได้ ดังนั้นท้องก่อนแต่งเสมอ)

"Well, not to be indelicate, but waiting for your turn must be hard after so many years of denial"

"No, it is not hard to wait"

"What I mean, Captain Doyle, is that after so many years of needs unmet, it must be difficult to only have sex about every two weeks or so" (คำนวนเอาสิบหกหารจำนวนวันแล้วกันค่ะ)

Frost laughed, then caught himself and tried to turn it into a cough.

"I fail to see the humor in being forced to wait weeks for sex, Captain Doyle, Lieutenant Frost"

"I would see no humor in that either" Doyle said "but when the number of men grew larger, Princess Meredith changed some of the parameters for us all"

เปลี่ยนยังไงน่ะเหรอ ฟังคำตอบจากปากของเมอรี่แล้วกัน "When I had only five lovers, it seemed fair to make them wait for their turns, but as you point out, waiting two weeks, or more, after centuries of celibacy seems like another form of torture. So when the number of men went up to double digits, I upped the number of times I make love during a given day"

แล้วกี่ครั้งต่อวันน่ะเหรอ

"It varies, but usually at least three times"

แต่สามครั้งต่อวันก็ยังรอนานอยู่ดี ถ้าคุณคำนวนแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ดูจากคำถามของอัยการ "Even at three times a day, Princess Meredith, that leaves an average of five days between lovemaking sessions for the men. Five days is a long time when you've been denied for centuries. Couldn't your three guards have tried to find something to occupy their time in between waiting?"

"A five-day wait implies that I'm only sleeping with one man at a time, Mr Veducci, and most of the time I'm not"

แล้วครั้งละกี่คนล่ะจ้ะ

"Average is probably two at a time. I think the max that I've ever done at once is four" เมอรี่หันไปคอนเฟิร์มกะลูกน้องอีกรอบ "Four?"

"Four, but two is average"

จากบทสนทนาก็คงบอกว่านี่ไม่ใช่โรแมนซ์ และมันก็เป็นอย่างนั้น เพราะสำหรับเราแล้ว หนังสือชุดเมอริดิธ เจนทรี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอำนาจ การได้มาซึ่งอำนาจ และการรักษาเอาไว้ นอกจากเรื่องอำนาจก็ยังมีเซ็กส์แถมมาให้อ่านอีก

ข่าวลือบอกว่าหนังสือชุดนี้จะมีสิบห้าเล่ม แต่จากเหตุการณ์ที่คลี่คลายถึงเล่มนี้ เราชักจะคิดว่ามันน่าจะสั้นกว่านั้น แต่ก็ประมาทฝีมือลอแรลยาก เพราะบทเธอจะยืด เธอก็ยืดได้ยาวกว่าตังเมเสียอีก

ชอบเล่มนี้มากที่สุดนับจาก A Kiss of shadow ซึ่งเป็นเล่มแรกในชุด ยกเว้นอย่างเดียว คุณที่ได้อ่านก็คงรู้

แล้วคุณคุณว่ายังไงกันบ้างคิดว่าจะเป็นสามปี เจ็ดปี หรือหนึ่งร้อยเจ็ดปีก่อนที่ฟรอสต์จะกลับมา

คะแนนที่ 82




View all my reviews

Review: Swallowing Darkness


Swallowing Darkness
Swallowing Darkness by Laurell K. Hamilton

My rating: 4 of 5 stars



หนังสือชุดเมเรดิธ เจนทรี้ไม่ใช่โรแมนซ์ ดังนั้นโปรดอย่าเข้าใจผิด นี่เป็นอีกครั้งนึงที่เราเขียนหนังสือที่เป็นส่วนน้อยของ Mostly Romance แต่บอกตามตรงนะคะว่า หนึ่งในเหตุผลที่เราชอบเรื่องนี้มาก ๆ ก็คือลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างนางเอก และบรรดาผู้ชายของเธอ

เรายังจำได้เมื่อประมาณเก้าปีก่อน เราเพิ่งจะสอบเสร็จ และอยู่ในในอาการที่เครียดมาก (เพราะมันเป็นการสอบครั้งแรก ในสภาพแวดล้อมที่เราไม่คุ้นเคย และเราก็กลัวที่จะผิดพลาดมาก ๆ) เราเดินไปในร้านหนังสือแห่งนึงในศูนย์การค้าใกล้กับบ้านที่พัก สายตาเราเหลือบไปเห็นหนังสือเล่มนี้ เรารู้จักชื่อนักเขียน ลอเรล เค. แฮมิลตันเป็นนักเขียนที่ดังพอที่จะเคยได้ยินชื่อ แม้จะไม่เคยอ่านผลงานของเธอเลย

เรารู้ว่างานของเธอไม่ใช่โรแมนซ์ ซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหา แต่สิ่งที่ทำให้ลังเลกับการหยิบหนังสือของเธอขึ้นมาอ่านก็คือ คำร่ำลือที่ว่า ในหนังสือของเธอ นางเอกไม่เคยตัดสินใจได้ในเรื่องผู้ชายของตัวเอง หนังสือชุดอนิต้า เบลกซึ่งเป็นหนังสือชุดที่ดังยิ่งกว่า และถูกเขียนออกมาก่อน สร้างความช้ำใจให้กับเพื่อนของเราหลายคน และพวกเขาก็บ่นให้ฟัง ถึงความลังเลของนางเอกในการเลือกผู้ชายของเธอ ในเล่มนึงเธอเลือกผู้ชายคนนึง ก่อนที่จะเปลี่ยนใจในเล่มต่อมา เราได้ยินได้ฟังแล้วก็อึ้ง ๆไป (ตอนนั้นอินโนเซ็นต์มากค่ะ) เพราะกระทั่งในเวลาที่เราไม่ได้อ่านเรื่องแนวโรแมนซ์ เราก็ไม่เคยอ่านเรื่องไหนที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครมั่วไปได้ขนาดนั้น

เราหยิบหนังสือเรื่อง Kiss of Shadow ซึ่งเป็นหนังสือเล่มแรกในชุดขึ้นมาดู จากนั้นก็วางลง กลับบ้าน แล้วก็กลับมาที่ร้านอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น หยิบขึ้นมาดู แล้วก็วางลงอีกครั้ง มันเป็นเวลาเกือบอาทิตย์ค่ะที่เราตัดสินใจซื้อเรื่องนี้กลับมา บอกกับตัวเองว่า เราอยากอ่านอะไรที่แตกต่าง ที่ไม่ใช่โรแมนซ์ ซึ่งตอนนั้นกลายเป็นหนังสือหลักที่เราอ่านไปเสียแล้ว

เราเริ่มต้นอ่านตอนห้าทุ่มในคืนวันที่ซื้อมา และอ่านจบตอนตีสอง

และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นความรักของเรากับงานเขียนของลอเรล เค. แฮมิลตัน และหนังสือชุดเมอร์รี่ เจนทรี้

เราไม่ได้บอกว่า เธอเขียนเรื่องดีเลิศ ไร้ที่ติ คำบ่นของเพื่อน ๆ ที่ได้จากการอ่านงานของเธอก็เป็นเช่นนั้น ตัวละครของเธอลังเลและสับสนใจชีวิต บางครั้งก็ทำอะไรที่ไม่อาจอธิบายได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เรารียนรู้ก็คือ โลกที่เธอสร้าง คาแร็คเตอร์ที่เธอทำให้มีชีวิต มันจับใจจนไม่อาจมองข้ามได้ เรารักพวกเขาทั้งที่มีข้อเสียเต็มตัว เรารักพวกเขาในแบบที่พวกเขาเป็น

หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่เจ็ดในชุดเมเรดิธ เจนทรี้ เรื่องราวการค้นหาความรัก และตอนจบอย่างมีความสุขของเจ้าหญิงแห่งภูติองค์สุดท้ายที่เกิดในอเมริกา

ก่อนจะเขียนอะไรมากไปกว่านี้ คงต้องบอกว่า วันนี้บลอกอาจจะไม่ได้ออกมาในลักษณะของการรีวิวร้อยเปอร์เซ็นต์นะคะ แต่เป็นการเขียนถึงความคิดและความรู้สึกที่เรามาต่อหนังสือชุดนี้มากกว่า และแน่นอนว่า สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านเรื่องในชุด เราไม่คิดว่า คุณจะเข้าใจสิ่งที่เราเขียนมากนักหรอก และเป็นสปอยล์สำหรับคุณด้วยค่ะ

เช่นเดียวกันกับคนที่ไม่เคยอ่านเรื่องนี้ หรือยังอ่านไม่ถึง สิ่งที่จะเขียนต่อไปจะเป็นการสปอยล์เรื่องราวในชุดนี้อย่างรุนแรง เตือนแล้วนะคะ

ตั้งแต่หน้าแรกของหนังสือเล่มนี้ก็บอกใบ้แนวคิดของหนังสือชุดนี้ได้เป็นอย่างดี คนเรามักจดจำเทพนิยายที่ตอนจบว่า ทุกคนอยู่กันอย่างมีความสุข แต่แทบจะไม่มีใครเลยคิดว่า หนทางการไปสู่ตอนจบอย่างมีความสุขนั้น ตัวละครในเทพนิยายแต่ละคนก็ล้วนปางตาย ไม่ว่าจะเป็นสโนวไวท์ที่ถูกลอบฆ่าถึงสี่ครั้ง เจ้าชายในเรื่องราพันเซลก็ถูกทำร้ายจนตาบอด หรือเจ้าหญิงนิทราก็ต้องหลับใหลนานกว่าพันปี

และในเทพนิยายเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน ตอนจบของเมเรดิธ นิคเอสซัส ทายาทอันดับสามในบัลลังค์แห่งภูติอันซีลี่ยังมาไม่ถึง และนั่นหมายความว่า เธอจะต้องผ่านความทุกข์ทรมาน

แต่อะไรเล่าจะเจ็บปวดเท่ากับการสูญเสียชายผู้เป็นที่รัก ฟรอสต์ หนึ่งในองครักษ์ข้างกาย และคู่รัก ชายผู้เป็นพ่อของลูกในท้องของเธอ ต้องเสียสละตัวเองไปให้กับการกลับมาของเวทมนตร์ ฟรอสต์กลายเป็นม้าตามตำนาน และมันอาจจะต้องใช้เวลามากกว่าสามร้อยปี ก่อนที่เขาจะกลับคืนสติ และจดจำอดีตของตัวเองได้

เวลาสามร้อยปีที่เมอร์รี่ไม่มี นั่นเพราะแม้เธอจะสืบทอดเชื้อสายของผู้ปกครองบัลลังค์แห่งภูติ แต่เมอร์รี่กลับไม่ได้เป็นอมตะ เธออาจมีชีวิตยาวนานเป็นร้อยปี แต่ก็ไม่ยาวพอที่จะรอคอยการกลับมาของชายอันเป็นที่รักได้

เมอร์รี่ตืนขึ้นในโรงพยาบาล หลังจากที่ถูกทานาอิส กษัตริย์แห่งภูติซีลี่ ผู้เป็นลุงลักพาตัวไป เธอถูกข่มขืนแต่รู้ว่า ไม่อาจใช้วิธีแก้แค้นตามแบบแห่งภูติได้ เธอไม่อาจส่งดอยล์ หัวหน้าองครักษ์ และชายอีกคนที่กุมหัวใจของเธอเอาไว้ออกไปลอบสังหารเ เพราะมันจะหมายความถึงสงครามระหว่างภูติแห่งอันซีลี่ และซีลี่ และนั่นคือสิ่งต้องห้าม อเมริกาคือประเทศสุดท้ายในโลกที่เปิดพรมแดนให้กับภูติพักอาศัย หลังจากพวกเขาถูกขับไล่ออกจากยุโรป ข้อแลกเปลี่ยนสองข้อก็คือ จะต้องไม่มีสงครามระหว่างภูติด้วยกันอีก และภูติจะต้องเลิกทำตัวเป็นเทพเจ้าที่ต้องการการเคารพบูชาจากมนุษย์

เมอร์รี่ยอมให้มีสงครามไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะใช้วิธีการของมนุษย์ในการจัดการ เธอแจ้งความจับทานาอิส แต่ในระหว่างที่พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เมอร์รี่ก็ถูกลอบโจมตีอีกครั้ง และคราวนี้มาจากคนที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย ผลของมันทำให้ดอยล์เจ็บหนักปางตาย และเป็นอีกครั้งที่ทำให้เมอร์รี่อาจต้องเสียชายที่เธอรักไปอีกคน

คนที่เคยอ่านงานในชุดนี้มาก่อนน่าจะเคยชินกับสไตล์การเขียนของลอเรลดีนะคะ เราไม่สามารถคาดหวังอะไรจากพล็อตเรื่องด้านหลังปกได้เลย เพราะตัวละครจะนำทางคุณไปสู่การผจญภัยที่พวกเขาต้องการ เราอ่านหนังสือเล่มนี้เหมือนคนตาบอดคลำทาง เพราะเราไม่รู้ว่า ทิศทางเรื่องจะนำไปสู่จุดไหน ปกติไม่ชอบอ่านหนังสือที่คาดเดาอะไรไม่ได้เลยนะคะ แต่สำหรับเรื่องชุดนี้ มันคือข้อยกเว้น เราร่วมเดินทางไปกับเมอร์รี่ กับการขึ้นสู่อำนาจของเธอ เพียงเพื่อจะพบว่า เมื่อปราศจากคนที่รัก อำนาจก็คือความเย็นชาที่ไร้ความรู้สึก

หลังจากที่ออกทะเลไปหลายต่อหลายเล่ม หนังสือเล่มนี้ปิดประเด็นคาใจคนอ่านไปได้เกือบหมด และนี่เองคงเป็นที่มาของข่าวลือที่ว่า มันน่าจะเป็นเล่มสุดท้ายในชุด เราเห็นด้วยค่ะ เพราะหากหนังสือชุดนี้จะจบลงที่เล่มนี้ ก็ไม่มีปัญหาเลย ตอนจบอาจจะไม่ได้เหมือนกับเทพนิยายที่ตัวละครได้ทุกอย่างที่ใฝ่ฝัน แต่มันก็คือตอนจบที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ของเทพนิยายเรื่องนี้

ว่าไปแล้ว มันเป็นบทสรุปเกี่ยวกับเจ้าชายในฝันของเมอร์รี่ที่ดีเกินกว่าที่เราคิดว่า คนแต่งจะมอบให้คนอ่านด้วยซ้ำ เราไม่รู้ว่าว่า สำหรับคนอื่นคิดยังไงนะคะ แต่เราชอบวิธีจบแบบนี้ของเธอมาก แม้ว่าในแง่นึงมันเป็นการหาทางออกแบบง่ายเกินไป เพราะมันเอาใจแฟนหนังสือทุกคน (ไม่ว่าคุณจะเชียร์ใครก็ตามให้เป็นพระเอกของเมอร์รี่) แต่เราชอบค่ะ

เราพยายามคิดถึงเหตุผลว่า อะไรทำให้หนังสือชุดนี้โดดเด่นมาก ๆ สำหรับเรา อะไรที่ทำให้มันอยู่เหนือหนังสือแนว Urban Fantasy เล่มอื่น คำตอบที่เราได้ก็คือ เพราะการเล่าเรื่องผ่านเมอร์รี่มีความโดดเด่น อย่างที่บอกนะคะ พล็อตเรื่องของหนังสือชุดนี้ไม่มีหลักแหล่งแก่นสารเป็นเรื่องราว หลายครั้งเรารู้สึกเหมือนคนแต่งเขียนไปเรื่อย ๆ ไม่ได้ต้องการจะสื่อประเด็นอะไรเป็นพิเศษ ซึ่งถ้าเป็นหนังสือเล่มอื่นที่เขียนแบบนี้ ก็จะผิดหวังมาก แต่กับหนังสือชุดนี้ เราไม่รู้สึกเช่นนั้น เราชอบ "เสียง" ของเมอร์รี่ ชอบการมองโลกผ่านสายตาของเธอ

ที่สำคัญเราชอบพัฒนาการของเมอร์รี่ เราเคยบอกนะคะว่า ประเด็นที่ทำให้แม็กซ์ชอบเรื่องนี้มากก็คือ เรื่องการเมือง และการขึ้นสู่อำนาจ นอกจากโรแมนซ์แล้ว นี่เป็นหนังสืออีกแนวที่ชอบที่สุด และหนังสือชุดนี้ผสมผสานทั้งสองส่วนเข้าไว้ด้วยกัน เราเริ่มต้นอ่านตั้งแต่เมอร์รี่ตัดสินใจที่จะละทิ้งทุกอย่าง และหนีมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมนุษย์ เพราะเธอรู้ดีว่า หากเธอยังอยู่ในอาณาจักรภูติ เธอจะต้องตาย เมอร์รี่หนีเพื่อรักษาชีวิต แต่เมื่อมันไม่พอ เธอถูกดึงตัวกลับเข้าสู่เกมการแย่งอำนาจในอาณาจักรอีกครั้ง เธอจึงจำเป็นต้องสู้ ความหวังก็คือ หากเธอสามารถตั้งท้องได้ก่อน บัลลังค์แห่งอาณาจักรภูติอันซีลี่ก็จะเป็นของเธอ และนั่นหมายความถึงชีวิตอันสงบสุขเสียที

แต่เทพนิยายเล่มนี้ไม่ได้จบลงง่าย ๆ เช่นนั้น เมอร์รี่ตั้งท้องในที่สุด แต่นั่นไม่อาจเปลี่ยนความคิดของคนที่เกลียดเธอได้ เพราะความไม่เป็นอมตะของเมอร์รี่ ทำให้เธอถูกมองว่าเป็นความอ่อนแอ หลายคนมองว่า เธอจะนำรอยด่างมาสู่อาณาจักรแห่งภูติ ไม่สำคัญเลยว่า เทพเจ้าหนุนหลังเธอ ไม่สำคัญเลยว่า เธอคือผู้มีสิทธิในบัลลังค์ เมอร์รี่จะตกเป็นเป้าของการลอบสังหารเสมอ

และนี่เองก็เปลี่ยนเธออีกครั้ง เมอร์รี่ผู้เคยคิดว่า การไปให้ถึงอำนาจคือทางรอด เธอตัดสินใจครั้งสำคัญ เธอเลือกคนที่เธอรัก และมีหน้าที่ต้องปกป้องก่อน เธอเลือกที่จะลี้ภัยอีกครั้ง

ตอนจบของหนังสือเล่มนี้ ก็เหมือนการเดินย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้น หลังจากผจญภัย และลงทุนลงแรง เจ็บปวดไปครั้งไม่ถ้วน เมอร์รี่กลับมาที่จุดเดิมในชีวิต เธอเดินทิ้งออกมาจากบัลลังค์ เพื่อแลกกับชีวิตของชายที่เธอรัก อย่างที่บอกนะคะว่านี่ไม่ใช่โรแมนซ์ แต่หัวใจของคนที่รักหนังสือแนวโรแมนซ์อย่างเรา ก็ค่อนข้างกรี๊ดสลบไปกับฉากนี้

หนังสือเล่มนี้อาจจะมีตอนจบเหมือนดั่งเทพนิยาย ที่ประเด็นความขัดแย้งทุกอย่างที่เปิดในเล่มก่อนหน้าจบลง ศัตรูคนสำคัญของเมอร์รี่ถูกกำจัด ในที่สุดเธอก็ได้อยู่อย่างมีความสุขกับบรรดาผู้ชายที่เธอเลือก แต่มันไม่ใช่เล่มสุดท้ายในชุด แม็กซ์บอกไม่ถูกเหมือนกันค่ะว่าเราควรจะรู้สึกอย่างไร

เพราะลอเรลไม่ใช่นักเขียนที่คาดการณ์ได้ เราไม่แน่ใจว่า การเขียนต่อของเธอจะหมายถึงตอนจบที่เธอจะฝากตัวละครตัวไหนออกไปจากชุดหรือไม่ (เราคงทนไม่ได้ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฟรอสต์หรือดอยล์อีก) แต่ในขณะเดียวกันเราก็ดีใจที่เรื่องราวในโลกของเมอร์รี่ยังไม่จบ ยังมีอะไรให้เราอ่านต่อ

สำหรับเล่มนี้ คะแนนที่ 83



View all my reviews

Review: Divine Misdemeanors


Divine Misdemeanors
Divine Misdemeanors by Laurell K. Hamilton

My rating: 3 of 5 stars



หนังสือชุดนี้ถือเป็นหนึ่งในหนังสือที่เรากรี๊ดสลบทีเดียว เคยมีช่วงเวลานึงที่เราคลั่งไคล้มันมากขนาดลงทุนซื้อปกแข็งมาอ่าน และถึงกับนั่งนับวันรอเวลาหนังสือออกขาย แต่อาจจะเป็นเพราะบทสรุปในเรื่อง Swallowing Darkness ที่ค่อนข้างลงตัวไปแล้วในระดับนึง ทำให้เรื่องราวเล่มต่อมาดูด้อยความสำคัญลงไป ใครล่ะจะสนใจอ่านเทพนิยายหลังจากที่มันจบลงไปแล้ว มันจะมีอะไรให้น่าสนใจอีกล่ะ


หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่แปดในชุดเมอรี เจนทรี เจ้าหญิงแห่งภูติองค์สุดท้าย คนที่ตัดสินใจเดินออกจากราชบัลลังค์เพื่อแลกกับชีวิตของชายผู้เป็นที่รัก

เมอรีตัดสินใจถอนตัวออกจากสิทธิที่เธอได้รับจากเทพเจ้า สิทธิที่กำหนดให้เธอเป็นราชินีแห่งบัลลังค์ภูติของราชสำนักอันซีลี เพื่อที่จะกลับไปใช้ชีวิตเป็นนักสืบเอกชนธรรมดาในเมืองแห่งเทพเจ้า หรือที่เรียกกันว่า ลอสแองเจลิส

มันเป็นชีวิตที่ต้องดำเนินไปหลังจากเทพนิยายจบลง เมอรีกลับมาทำงานที่เธอถนัด แม้จะตั้งครรภ์ได้หลายเดือน แต่บางสิ่งก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป เธอยังคงตกเป็นเป้าหมายของการลอบสังหาร จากคนที่ไม่เชื่อว่า เมอรีจะเดินออกจากอำนาจได้จริง ในขณะเดียวกันเธอก็ต้องรับมือกับการตกเป็นเป้าหมายของบรรดาช่างภาพ และนักข่าวที่ต้องการเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าหญิงแห่งภูติ

คดีที่เมอรีได้รับเชิญจากกรมตำรวจแห่งลอสแองเจลิสให้ไปให้คำปรึกษา เป็นคดีฆาตกรรมหมู่เหล่าภูติร่างจิ๋ว ภาพความตายอันน่าสพึงกลัว ที่ถูกจัดฉากให้เหมือนกันภาพในนิทานก่อนนอนเป็นสิ่งที่น่าสยองเกินคำบรรยาย คำถามปรากฎขึ้นถึงผู้ลงมือ คนคนนั้นเป็นมนุษย์ที่ทดลองเล่นกับเวทมนตร์ หรือมันเป็นการฆ่ากันเองในหมู่ของภูติ

เมอรีและเหล่าองครักษ์ข้างกายของเธอ (ซึ่งก็เป็นกิ๊กของเธอด้วย) ถูกดึงเข้าไปพัวพันกับคดี ที่ในที่สุดก็เห็นได้ชัดว่า มีเป้าหมายมายังตัวเธอเอง

ว่าไปแล้วหนังสือเล่มนี้ค่อนข้างอ่อนด้อยลงไปพอสมควรเมื่อเทียบกับเล่มก่อนหน้า (Swallowing Darkness) แต่ก็อย่างที่บอกค่ะ มันคือตอนต่อจากตอนจบของเทพนิยาย เรื่องราวจึงดำเนินไปอย่างไม่ค่อยมีเป้าหมายมากนัก เมอรีเริ่มตั้งคำถามกับการเลือกของเธอเองในการที่เดินออกไปจากอำนาจ ผลพวงของการที่เธอบอกปฏิเสธราชบัลลังค์ที่ไม่ได้หมายความว่า เธอจะปลอดภัยอย่างที่คิด

ในแง่นึงหนังสือเล่มนี้มีความคล้ายกับเล่มแรกในชุด (Kiss of Darkness) ค่อนข้างมากค่ะ แต่เพราะตัวละครขาดแรงผลักดัน (ในกรณีนี้ก็คือ เมอรีไม่ได้แข่งขันเพื่อครองราชบัลลังค์แล้ว) ทำให้เรื่องดูไร้ทิศทางไปเล็กน้อย แต่เราก็ยังชอบพล็อตในส่วนสืบสวนในระดับนึง และพล็อตสืบสวนนี้เองที่ช่วยพยุงเรื่องนี้เอาไว้ได้ ไม่อย่างนั้นมันก็จะกลายเป็นบันทึกประจำวันของเมอรีไปซะงั้น

เมื่ออ่านจบ เราไม่แน่ใจนะคะว่า มันเป็นความคิดที่ดีรึเปล่าที่คนแต่งเขียนเรื่องของเมอรีต่อมาอีก เพราะเรารู้สึกว่า เรื่องราวล่องลอยอย่างไม่มีจุดหมายเท่าไหร เราไม่แน่ใจว่าคนแต่งต้องการจะสื่ออะไรต่อไป หรือเพียงเพราะว่า เธอเห็นว่า เรื่องชุดนี้ขายดี ก็เลยเขียนต่อไปซะอย่างนั้น

คะแนนที่ 67




View all my reviews

Monday, June 16, 2014

Review: Dirty Angels


Dirty Angels
Dirty Angels by Karina Halle

My rating: 4 of 5 stars



เพิ่งอ่านเรื่องนี้จบไปค่ะ และนี่เป็นหนังสือไม่กี่เรื่องที่ทำให้เรารู้สึกว่า ต้องเขียนถึงในทันที เพราะมันวนเวียนอยู่ในสมอง และทำให้เราคิดถึงมันแม้จะอ่านจบไปแล้ว

ว่าไปแล้วเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือที่ดีมากมาย (เราไม่คิดว่า จะเป็นหนังสือที่ติดอันดับหนึ่งในสิบที่ดีที่สุดที่เราได้อ่านในปีนี้) แต่เป็นหนังสือเล่มที่เราคงจะไม่มีวันลืม ส่วนหนึ่งเพราะเล่มนี้เขียนถึงตัวละครที่เราเคยมีความรู้สึกให้อย่างมาก (ตอนอ่าน On Every Street) และหมดหวังไปกับตัวตนของเขา (เมื่อเราได้อ่าน The Artist Trilogy) ทำให้เราเมื่อรู้ว่า คนแต่งเอาเขามาเป็นคาแร็คเตอร์หลักในเล่มนี้ จึงไม่ถึงกับตื่นเต้น ไม่ได้รอคอยมากมาย เพียงแค่สงสัยว่า ความรู้สึกที่เสียไปแล้ว (เกี่ยวกับตัวละครตัวนี้) จะกลับมาได้ยังไง

คำตอบก็คือ มันกลับมาไม่ได้นะคะ เพราะฮาเวียร์ก็คือคาแร็คเตอร์ที่เราไม่ชอบที่ออกใน The Artist Trilogy (ไม่ใช่ตัวละครที่น่าสนใจและลึกลับที่เรารู้สึกตอนอ่าน On Every Street) แต่เพราะเขาคือคนคนที่เราไม่ชอบ (จากพฤติกรรมแย่ ๆ และข้ามเส้นหลายอย่าง) ซึ่งเมื่อมาในเล่มที่เขาเป็น "พระเอก" เขายังเป็นคนคนนั้น เราจึงรู้สึกว่า คนแต่งเข้าใจคาแร็คเตอร์ของเขาอย่างชัดเจน

เล่มนี้จึงไม่ใช่เรื่องราวของการไถ่บาป การกลับตัวเป็นคนดีของสมาชิกแก๊งค์ค้ายา หากแต่เป็นเรื่องราวของคนเลวคนนึงที่พบผู้หญิงที่คู่ควรกับเขา หรืออาจจะบอกได้ว่า เป็นเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงผู้หญิงคนนึงที่อาจจะเป็นคนที่ดีกว่านี้ หากไม่ได้เจอกับเขา

เราชอบความสุดโต่งของเรื่อง ความซื่อสัตย์ต่อตัวตนของตัวละครที่สร้างมา ดังนั้นเล่มนี้จึงไม่ใช่เรื่องราวของหัวหน้าแก๊งค์มาเฟียที่มีเกียรติ ผู้ชายที่เลิกทุกการกระทำที่ผิดกฎหมายเพื่อใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในบันปลายกับนางเอก

หลุยซา ชาเวจไม่มีทางเลือกมากนัก อดีตที่เป็นถึงนางงามประจำเมืองไม่ได้ทำให้ชีวิตของเธอง่ายขึ้น ในวัยยี่สิบสามปีเธอทำงานเป็นพนักงานเสริฟในบาร์เล็ก ๆ หาเงินเลี้ยงดูพ่อผู้เป็นโรคอัลไซเมอร์ และมารดาผู้ตาบอด (วางตัวมาเป็นแม่พระมาก ๆ) อนาคตที่อาจจะมีทั้งหมดจบไปเมื่อความสวยของเธอไปเตะตาเจ้าพ่อค้ายารายใหญ่อย่างซัลวาดอร์ เรเยส และอะไรที่ซัลวาดอร์ต้องการ เขาต้องได้ ซึ่งหลุยซาเข้าใจดี เธอไม่มีทางเลือก กระนั้นเธอก็หวังว่า การกลายเป็นเจ้าสาวของซัลวาดอร์จะทำให้ชีวิตดีขึ้น มีเงินมากพอที่จะเลี้ยงดูพ่อแม่ให้สบายขึ้น เธอบอกตัวเองว่า มันเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า ความงามของเธอ กับเงินของซัลวาดอร์

และการใช้ชีวิตเป็นผู้หญิงของเจ้าพ่อค้ายาไม่ได้สวยงาม ซัลวาดอร์ไม่ใช่เทพบุตร เขาเลวร้ายยิ่งกว่าปีศาจ ตลอดเวลาสามเดือนเธอใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัว และสิ้นหวัง กระนั้นเมื่อโอกาศเปิด เธอเลือกที่จะหนีออกไปจากเขา เพียงเพื่อที่จะถูกจับโดยแก๊งค์คู่แข่งของซัลวาดอร์ กลายเป็นเบี้ยอีกตัวนึงในสงครามการแย่งพื้นที่ค้ายา

ชายคนที่จับตัวเธอไปคือ ฮาเวียร์ เบอร์เนล คนที่ไม่ได้ดีไปกว่าซัลวาดอร์ แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ทำร้ายเธอรุนแรงเท่ากับชายคนที่เป็นสามีของเธอกระทำ

เรื่องนี้ค่อนข้างสุดโต่ง แต่ยังอยู่ในกรอบที่เรารับได้นะคะ คือเราพบว่า ตัวเองมีปัญหาในการอ่านเรื่องที่มีพล็อตที่พระเอกลักพาตัวนางเอกไปฝึกเป็นทาส (อ่านไปหลายเรื่องแล้ว รู้เลยว่า เรารับพล็อตแบบนี้ไม่ได้) แต่เล่มนี้สำหรับเราไม่ข้ามเส้นนะคะ เพราะการกระทำของฮาเวียร์ แม้จะเป็นการลักพาตัว แต่มีจุดมุ่งหมายที่ไม่ใช่เรื่องเพศ และหลุยซาเองก็ไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสาที่เดินถนนอยู่ดี ๆ ก็โดนจับตัวมาอย่างไร้ความผิด เธอเลือกชีวิตที่เป็นอยู่ ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่ใช่การทำร้ายผู้บริสุทธิ์ (ซึ่งนี่เป็นประเด็นที่เรารับพล็อตที่กล่าวข้างต้นไม่ได้) หลุยซาอาจจะไม่ได้ทำผิดร้ายแรง แต่นี่เป็นชีวิตที่เธอเลือก และเป็นกรรมที่เธอรับ

ฮาเวียร์เป็นคาแร็คเตอร์ที่มาจากชุด The Artist Trilogy เวลาหลายปีผ่านไป และเขาก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในเจ้าพ่อค้ายาที่มีอิทธิพลในเม็กซิโก เขาไม่ใช่พระเอกที่ขี่ม้าขาวมาช่วยหลุยซา การจับตัวเธอมาเพื่อหวังผล เพื่อให้ซัลวาดอร์ยอมให้แก๊งค์ของเขาเข้าครอบครองเส้นทางค้ายา

เราชอบเล่มนี้เพราะความดิบของตัวละคร ความซื่อตรงต่อตัวตนของพวกเขา เราไม่ชอบอ่านมาเฟียโรแมนซ์ เพราะเรารู้สึกว่า คนแต่งพยายามเอาสบู่มาขัดถูให้ตัวละครดูสะอาด พระเอกเป็นมาเฟียเพราะพ่อตาย พยายามทำธุรกิจให้สะอาด มีหลักการด้วยการไม่ค้ายา ไม่ค้าผู้หญิง มีศักดิ์ศรีและยึดมั่นในหลักการของมาเฟีย (ซึ่งคืออะไรวะ) เราพยายามอ่านไปหลายเล่ม แต่เราอินไม่ลงค่ะ เรามองว่า นี่คืออาชีพที่สกปรก คนที่ทำก็ต้องสกปรก ไม่มีทางที่จะทำให้มันกลายเป็นที่น่านับถือ หรือเท่ห์ขึ้นมาได้

เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้สิ่งที่ฮาเวียร์ทำเป็นสิ่งสวยงาม หรือดูเท่ห์ มันนำเสนอตัวตนแบบที่เจ้าพ่อค้ายาเป็น (หรืออย่างน้อยอย่างที่เราคิดว่า น่าจะเป็น) ฮาเวียร์ค้ายาเพราะโลภ เล่มนี้ไม่ได้พยายามอธิบายเหตุผลที่เขาก้าวมาสู่เส้นทางนี้ เขาเป็นคนแบบนี้เพราะมันเป็นทางที่เลือก ไม่ใช่เพราะสถานการณ์บีบบังคับ นั่นทำให้เราอ่านเรื่องราวของเขาได้

นอกจากนี้เราก็ชอบที่ความรู้สึกที่เกิดระหว่างหลุยซาไม่ใช่รักแรกพบ ไม่ใช่พบกันครั้งแรกเขาก็อยากจะปกป้องเธอ เล่มนี้ไม่ได้อ่านง่ายนะคะ อาจจะไม่ถึงกับเลวร้ายแบบเล่มที่พระเอกจับนางเอกมาฝึกเป็นทาส แต่ ฮาเวียร์ก็ใช้มีดกรีดชื่อตัวเองลงบนแผ่นหลังของหลุยซาทุกวัน วันละตัวอักษร

เราชอบสิ่งที่คนแต่งนำเสนอในตัวพระเอก อย่างที่บอกค่ะ เราชอบเขามาก ๆ ตอนที่เขาออกมาใน On Every Street ตอนนั้นเขายังไม่ถึงเข้าสู่ด้านมืดเต็มร้อย เราไม่ชอบตัวตนที่เขาเป็นใน The Artist Trilogy แต่เราชอบเขาในเล่มนี้ เพราะคนแต่งไม่ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งที่เขาเป็นเลยจากตัวตนในเรื่อง The Artist Trilogy เราชอบตอนที่ฮาเวียร์พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดในเรื่องชุด The Artist Trilogy และความคาดหวังที่เขามีต่อแอลลี่ (นางเอกของชุด The Artist Trilogy คนที่ไม่เลือกและทิ้งเขาไป) เพราะท้ายที่สุดแล้ว ฮาเวียร์ก็ไม่เข้าใจแอลลี่ (นอกเรื่องเล็กน้อย แอลลีเลือกแคมเดนเพราะเขาทำให้เธอเป็นคนที่ดีขึ้น และแอลลี่ต้องการเป็นคนที่ดีขึ้น ในขณะที่ฮาเวียร์คือคนที่เธออาจจะเลือก หากด้านมืดของเธอมีอำนาจเหนือกว่า)

มาถึงส่วนของโรแมนซ์ เรารู้เลยนะคะว่า เล่มนี้เวิร์คมาก ๆ สำหรับเรา หลังจากอ่านไปได้แค่เล็กน้อย (คือเมื่อรู้ว่า ฮาเวียร์คงรักษาคาแร็คเตอร์เลว ๆ ของเขาเอาไว้ และทิศทางเรื่องจะเป็นยังไง) แต่เราไม่มั่นใจกับโรแมนซ์ที่เกิด การเขียนคาแร็คเตอร์ที่เป็นสีดำทำไม่ยากนะคะ แต่สำหรับเราแล้ว การเขียนให้คนเหล่านี้มีความรัก และทำให้เราเชื่อว่า คนที่รักพวกเขาไม่ใช่คนโง่ ไม่ใช่เรื่องง่าย

แต่คนแต่งก็ฉลาดค่ะ การใช้คาแร็คเตอร์ของหลุยซา หญิงสาวที่ต้องเลือกระหว่างปีศาจสองตัว ในเรื่องก็พูดไว้ชัดนะคะ จากซัลวาดอร์คนที่ทำร้ายเธออย่างแสนสาหัส กับฮาเวียร์ที่อาจจะไม่ได้เริ่มต้นด้วยการเอาใจ แต่การกระทำที่เลวร้ายสุดของเขาก็ยังดีกว่าสิ่งที่เธอได้รับจากน้ำมือของซัลวาดอร์ นั่นทำให้เราเชื่อได้ว่า ทำไมเธอจึงตกหลุมรักฮาเวียร์ หลุยซาไม่มีทางเลือกมากนักเพื่อเอาชีวิตให้รอดในโลกที่ไม่ยุติธรรม

ทางด้านฮาเวียร์นี่ยากหน่อย และเราคิดว่า เป็นส่วนที่เราคิดว่า ไม่น่าเชื่อที่สุดในเรื่อง เรามองเห็นการเปลี่ยนแปลงของหลุยซานะคะ การเปลี่ยนแปลงที่นำเธอไปสู่คนที่คู่ควรกับฮาเวียร์ (คำว่าคู่ควร หมายถึงคนที่ยืนเคียงข้างเขาและสนับสนุนเขาในยามที่เขาก่อเรื่องเลวร้ายต่าง ๆ) เราเชื่อในตอนท้ายเรื่องว่า เธอกลายเป็น "ราชินี" ข้างบังลังค์เลือดของเขา แต่เวลาในเรื่องตอนที่ฮาเวียร์เสี่ยงทุกอย่างเพื่อเธอ เรารู้สึกว่า มันเกินไปหน่อย (เมื่อคิดว่า วางคาแร็คเตอร์ของพระเอกมาแบบนี้ การที่เขาจะทิ้งทุกอย่างเพื่อผู้หญิงคนเดียว ผู้หญิงคนที่เรายังไม่รู้สึกว่า มาถึงจุดที่คู่ควรกับเขา ดูไม่น่าเชื่อ)

ฉากที่เราชอบที่สุด และบ่งบอกความรู้สึกที่เรามีต่อมาเฟียโรแมนซ์เล่มอื่น ๆ ได้ชัดเจนก็คือ เมื่อฮาเวียร์ช่วยหลุยซากลับมาจากซัลวาดอร์แล้ว และเขาเสนอให้ทั้งคู่ทิ้งทุกอย่าง หนีไปใช้ชีวิต "ผาสุข" ด้วยกันที่อื่น และหลุยซาปฏิเสธ โดยบอกว่า "You can never run away from yourself, you'll just go in a circle. There is no escape from this life because this is your life and you are what you are. And there is nothing wrong with that." เราออกอาการกรี๊ดมาก ๆ คือนี่แหละนางเอกของมาเฟีย ของคนเลว คือถ้าเลือกจะรักผู้ชายที่เลว ก็ต้องพร้อมใช้ชีวิตเลว ๆ ไปกับเขา อย่าคิดว่า ตัวเองจะเปลี่ยนเขาได้ ไม่มีทาง และเป็นจุดที่ทำให้เราเชื่อว่า ความรัก (หรืออะไรก็ตามที่ทั้งสองคนรู้สึกต่อกัน) มันได้ผล

สรุป (หลังจากเขียนนานมาก) เล่มนี้ไม่เหมาะกับทุกคน เราชอบเพราะเมื่อคนแต่งรักจะเขียนตัวละครสีดำ ก็ควรทำให้มันดำ ไม่ได้ใส่ไฮเตอร์ฟอกให้ขาว และโรแมนซ์ที่เวิร์ค เพราะสำหรับนางเอกแล้ว นี่คือชีวิตของเธอ และมันเห็นได้ชัดว่า ฮาเวียร์เป็นทางเลือกที่ดีกว่าซัลวาดอร์

ป.ล. อ่านเรื่องนี้แล้วยิ่งตอกย้ำความคิดของเราที่มีต่อชุด The Artist Trilogy เราไม่เคยคิดว่า เรื่องชุดนั้นเป็นแนวรักสามเส้า เพราะเห็นได้ชัดว่า พระเอกคือใคร และการที่ฮาเวียร์ไม่เคยอยู่ในสายตาของเรา เพราะเขาไม่ใช่คนที่เหมาะสมกับแอลลี่ ว่าไปคาแร็คเตอร์ของแอลลีกลับด้านกันกับหลุยซานะคะ คือแอลลีอยากเป็นคนดี ใช้ชีวิตธรรมดา ๆ แต่ภูมิหลังทำให้เธอพัวพันกับเรื่องหลอกลวง และนั่นเป็นชีวิตที่เธอคุ้นเคย ซึ่งนั่นดึงดูดฮาเวียร์มาหาเธอ เพราะเขาคิดว่า เธอคือคนที่จะยืนเคียงข้างเขาได้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่แอลลีต้องการ (เธอต้องการชีวิตในเมืองเล็ก ๆ กับสามีและลูกที่อยู่อย่างสงบ) ในขณะที่หลุยซาเริ่มต้นอย่างผ้าขาว แต่เมื่อเธอเข้าไปอยู่ในชีวิตของซัลวาดอร์ เธอไม่มีสิทธิที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก ต้องเดินหน้าอย่างเดียว และหลังจากเป็นเหยื่อมาตลอดชีวิต ฮาเวียร์ดึงดูดเธอ ด้วยอำนาจ และความอำมหิตที่เขามี เราจึงไม่แปลกที่เธอเลือกชีวิตแบบนี้กับเขา เพราะหลังจากที่โดนอะไรต่ออะไรมา การเป็นคนร้าย และเป็นฝ่ายกระทำย่อมดีกว่าการเป็นเหยื่อ





View all my reviews