Monday, February 16, 2009

All Around the Web

G.A. Aiken/Shelley Laurenston

ข่าวนี้ไม่ใช่ข่าวใหม่นะคะ แม็กซ์รู้มาสักระยะนึงแล้ว แต่ก็เหมือนส่วนใหญ่ที่เรายังพูดไม่ได้จนกว่าจะเป็นทางการ (นั่นคือ มีการประกาศอย่างชัดเจนโดยคนที่เกี่ยวข้อง) เป็นข่าวดีของแฟนหนังสือชาวไทยที่อยากอ่านงานของจี.เอ. ไอเก้น หรือในอีกนามปากกาที่เธอใช้คือ แชลลี่ ลอว์เรนสตัน ซึ่งเป็นนักเขียนที่แม็กซ์ชอบมาก ๆ ที่สุดตอนนี้ เพราะว่ามีสนพ.ไทยแห่งหนึ่งได้ดำเนินการซื้อลิขสิทธิ์เรียบร้อยแล้ว ส่วนจะเป็นสนพ.ไหน แม็กซ์ว่ารอเขาประกาศตัวเองก่อนคงจะดีกว่านะคะ เพราะเราดูแล้วมันเงียบชอบกล

Nalini Singh's Branded by Fire

สำหรับคนที่อยากรู้พล็อตเรื่องของหนังสือเล่มที่หกในชุดไซ/เชนจิ้งส์ ที่จะออกขายเดือนกรกฎาคมปีนี้

When a brilliant changeling researcher is kidnapped, DarkRiver sentinel Mercy, a cat, and SnowDancer lieutenant Riley, a wolf, must work together to track the young man—before his shadowy captors decide he’s no longer useful. Along the way, the two dominants may find that submitting to one
another uncovers not just a deadly conspiracy, but a passion so raw that it’ll leave them both branded by fire.

Edward is BACK

แต่ไม่ใช่เอ็ดเวิร์ดที่ทำให้สาวน้อยหัวใจอ่อนระทวยไปทั่วโลกจากทไวไลท์หรอก นะคะ เป็นเอ็ดเวิร์ดนักฆ่าจากหนังสือชุดอนิต้า เบลคของลอเรล เค. แฮมิลตันต่างหาก เพราะในหนังสือเรื่องล่าสุด Skin Trade ที่มีพล็อตออกมาแล้วว่า เอ็ดเวิร์ดจะมีบทบาทในเล่มนี้ด้วย และในฐานะของคนอ่านที่ชอบเอ็ดเวิร์ดคนนี้มาก อารมณ์อยากอ่านหนังสือชุดนี้เลยเริ่มฟื้นกลับมาแล้ว

When a vampire serial killer sends Anita Blake a grisly souvenir from Las Vegas, she has to warn Sin City’s local authorities what they’re dealing with. Only it’s worse than she thought. Ten officers and one executioner have been slain—paranormal style. Anita heads to Vegas, where’s she’s joined by three other federal marshals, including the ruthless Edward. It’s a good thing he always has her back, because when she gets close to the bodies, Anita senses “tiger” too strongly to ignore it. The weretigers are very powerful in Las Vegas, which means the odds of her rubbing someone important the wrong way just got a lot higher.

Lover Avenged's Plot

แม็กซ์เคยบอกไปแล้วว่านางเอกของรีเวนจ์คือใคร และนี่คือพล็อตเรื่องคร่าว ๆ ที่หลุดออกมานะคะ

Rehvenge has always kept his distance from the Brotherhood—even though his sister is married
to a member, for he harbors a deadly secret that could make him a huge liability in their war against the lessers. As plots within and outside of the Brotherhood threaten to reveal the truth about Rehvenge, he turns to the only source of light in his darkening world, Ehlena, a vampire untouched by the corruption that has its hold on him—and the only thing standing between him and eternal destruction.

ดูท่าทางเล่มนี้เราจะได้พอลลี่แอนน่าเป็นนางเอกอีกแล้ว

นอกจากนี้เดือนตุลาคมปีนี้เราก็จะได้หนังสือเล่มแรกในชุดใหม่ของเจอาร์ วาร์ดมาอ่านกัน ชื่อเรื่องว่า Covet ซึ่งเป็นแนวพารานอมอล แต่ไม่ใช่แวมไพร์ เป็นเรื่องราวของเหล่าเทวดา (และนางฟ้า) ตกสวรรค์ เพราะใช้ชื่อชุดว่า A Novel of the Fallen Angels สำหรับคนที่อ่านเรื่องสั้นของวาร์ดในเรื่อง Dead After Dark ก็น่าจะพอรู้แล้วนะคะว่าแนวเรื่องเป็นยังไง สำหรับแม็กซ์เราคิดว่าน่าสนใจดี

ข่าวที่ดีกว่าก็คือ เจอาร์จะไม่หยุดเขียนชุด BDB แต่จะออกเป็นปกแข็งปีละเล่ม ในขณะที่ชุด FA จะออกเป็นปกอ่อน ปีละเล่มเช่นกัน (คล้าย ๆ กับที่สเตฟานี ลอว์เรนส์ทำน่ะค่ะ)

The Wait is finally over

สุดท้ายคงเป็นการบอกว่า การรอคอยเป็นเวลาสองปีกว่ากำลังจะจบลงแล้ว ในที่สุดแม็กซ์ก็จะได้รู้ว่าระหว่าง แม็กซ์ (ชื่อตัวละครในเรื่องนะคะ) กับเซบาสเตียน ใครจะได้หัวใจของวิคทอเรียไปครอง ใน As Shadows Fade หนังสือชุดที่สนุกที่สุดที่แม็กซ์ไม่ใจร้ายพอที่จะรีวิวให้ใครอ่าน (เพราะกลัวว่าเพื่อนจะเกิดอารมณ์ค้างอย่างเดียวกับเรา)

The Vampire Who Loved Me // Teresa Medeiros

บลอกครั้งแรก: 17/10/06

ชื่อไทยแปลตรงตัวของหนังสือเรื่อง The Vampire who loved me ของ Teresa Medeiros อันนี้ไม่ได้โฆษณานะคะ แต่เล่มแรกของหนังสือในชุดนี้เรื่อง After Midnight กำลัง จะออกขายเป็นภาษาไทยในงานสัปดาห์หนังสือวันพรุ่งนี้ ส่วนชื่อเรื่องอะไรจำไม่ได้ค่ะ ลองไปเดินหากันหรือแวะไปถามกูรูในบอร์ดกิ่งฉัตรก็คงพอหากันได้

เตือนนิดเดียวถ้าไม่อยากสปอยเรื่อง AM ก็อย่าอ่านต่อ แม้ว่าใจจริงของเราคิดว่าแค่คุณอ่านถึงบรรทัดนี้ก็สปอยไปหมดแล้วล่ะ

คนที่อ่าน AM คงจำจู เลียน เคนได้ น้องชายพระเอกเล่มแรกที่เข้าสูตรตัวประกอบหลักที่มีอนาคตจะเป็นพระเอกเล่ม ต่อไป ผู้ชายอารมณ์ดี ขี้เล่น มีเสน่ห์ ชายที่มีความลับดำมึดที่ชื่อเรื่องก็ประกาศให้คนอ่านรู้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ว่าเขาเป็นอะไร ถ้าคาดหวังว่าจะได้เจอจูเลียนคนเดิม เราบอกว่าใสเจีย/เสียใจค่ะ จูเลียนเขาเปี๋ยนไป๋ เข้าสูตรแวมไพร์ผู้เคร่งเครียดกะชีวิต

สำหรับเรานั่นคือจุดอ่อนของเรื่อง ทำไมจะอยากอ่านเรื่องแวมไพร์เบื่อโลกของเทเรซ่า เมดิรอสล่ะในเมื่อคุณหยิบหนังสือชุด Dark Something ของ คริสตีน ฟีแฮนได้ หรือถ้านั่นมืดไม่พอก็ยังมีงานที่รุ่งสุดสุดของเจ อาร์ วาด นี่ขนาดเรายังไม่พูดถึงชุดดาร์คฮันเตอร์เลยนะ แต่ชุดนั้นไม่ค่อยมืดค่ะ เลยไม่อยากเอามานับ

หนังสือหนา 370 กว่าหน้าตามมาตรฐานของเอวอนสำนักพิมพ์ แต่เนื้อหาคงไม่ยาวนัก เพราะตัวอักษรใหญ่มากเหมาะกับคนสายตาถั่วอย่างเรา ดังนั้นจึงอ่านได้เร็วแม้ตอนต้นเรื่องจะไม่ค่อยน่าติดตามนัก ตรงกลางเรื่องเริ่มดีขึ้น แม้จะไม่อาจเทียบกับเรื่องยุคก่อนของเทเรซ่าได้ แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สนุกอีกเล่ม

เล่าเรื่องย่อก่อนแล้วกัน และสำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่าน After Midnight เราเตือนคุณแล้ว

จูเลียน เคนแวมไพร์ที่แสวงหาการปลดปล่อยจากชีวิตที่ปราศจากวิญญาณเดินทางกลับมาถึง ลอนดอนแล้ว เนื้อเรื่องไม่ได้บอกอย่างชัดเจนว่าเขากลับมาทำไม แต่จากพฤติกรรมคงเห็นได้ชัดว่าเขาค่อนข้างเบื่อโลกแล้ว คนที่รอคอยการกลับมาตลอดห้าปีของเขาก็คือพอร์เชีย คาบ็อทผู้หญิงที่มีอดีตพัวพันกันมาก่อน เพราะเมื่อห้าปีก่อนเธอคือคนที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นความลับดำมึดสำหรับคนอ่านเรื่อง AM ในเรื่องนี้ก็มาเฉลย เราปล่อยให้ไปอ่านกันเองนะคะ เพราะสำหรับเราแล้วไม่ลับเท่าไหร เดาถูกตั้งแต่ตอนอ่าน AM แล้ว

โดยรวมเรื่องนี้สนุกพอสมควรค่ะ อยู่ในระดับเดียวกับ AM ดังนั้นถือว่าดีกว่างานเล่มอื่นที่เทเรซ่าเขียนให้เอวอน

สุดท้ายจบบลอคด้วยประโยคที่โดนใจเรา ที่สุดในเรื่อง เมื่อพอร์เชียกล่าวกับจูเลียนหลังจากที่เขาพูดกับเธอว่า เขาไม่ไว้ใจตัวเองให้แตะต้องตัวเธอได้ เขาอาจสูญเสียความควบคุมและดื่มเลือดของเธอจนหมด เธอตอบประโยคนี้กับเขา

"You don't have to trust yourself. I trust you enough for the both of us"

และหลังจากนั้นคุณคงพอเดาได้ว่าเป็นฉากอะไร

ความผิดของคนที่อ่านภาษาอังกฤษ

บลอกครั้งแรก: 19/10/06

ก็ว่าจะไม่เข้าบอร์ดแห่งหนึ่งแล้วนะคะ เพราะระยะหลังเข้าไปแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองทำความผิดบางประการใหญ่หลวง ที่บังอาจเป็นคนที่อ่านหนังสือเป็นภาษาอังกฤษ

เราไม่ได้อ่านภาษาอังกฤษเพราะต้องการ เอามาอวดอ้างอุตริกะใคร ไม่ได้อ่านเพื่อจะได้เอามาโชว์ชาวบ้านในรู้ว่า ฉานก้ออ่านอังกิดได้ เราอ่านเพราะว่าในช่วงระยะเวลาที่เราอ่านหนังสือนั้น ประเทศไทยเพิ่งรับกระแสการซื้อลิขสิทธิ์นิยายภาษาอังกฤษมา ถ้าใครจำได้จะรู้ว่ายุคนั้นเราสูญเสียสำนักพิมพ์ดีดีไปเยอะมากเพราะกระแส ลิขสิทธิ์ สำนักพิมพ์ที่มีเงิน (แต่หมองน้อยไปหน่อย) ทุ่มเงินจำนวนมหาศาลซื้อลิขสิทธิ์นิยาย ทำให้สำนักพิมพ์ขนาดเล็กสู้ไม่ได้ และไม่ได้ออกงานมา สุดท้ายเพราะต้นทุนค่าลิขสิทธิ์มหาศาล บวกกับนักแปลความรู้สั้นกว่าอึ่งอ่าง ก็เลยเจ๊งกันถ้วนหน้าทั้งวงการ ยุคนั้นไม่มีหนังสือแปลดีมาให้อ่านเลย

ทางออกของนักอ่านผู้ไม่ทดท้ออย่างเรา ก็คือกล้ำกลืนฝืนทนซื้อนิยายฉบับภาษาอังกฤษมาอ่าน และพบว่า ภาษาปะกิดไม่ยากอย่างที่คิด ถ้าเพียงแต่มีความทนทานมากพอ

และเมื่ออ่านภาษาอังกฤษได้ เหตุใดเราจะต้องเป็นนักอ่านผู้อดทนรอคอยการแปลเป็นภาษาไทยอีกล่ะ

นี่ยังไม่นับสำนักพิมพ์ในเมืองไทยครอบ งำคนอ่าน แนวเรื่องมีอย่างจำกัด อย่างนิยายโรแมนซ์ก็บังคับให้นางเอกรักษาความผุดผ่องเป็นยองใย ทำไมเราจะจำกัดตัวเองกับตัวเลือกทางภาษาในเมื่อเราสามารถขยายมุมมองของตัว เองได้ เราสามารถอ่านหนังสือหลายเรื่องที่ทั้งชีวิตคงไม่มีทางได้อ่านถ้ารอให้แปล

เรารู้สึกมาตลอดว่าการที่เราอ่าน หนังสือฉบับภาษาอังกฤษได้เป็นข้อได้เปรียบ ไม่ใช่ว่าเพราะเราสามารถเอาไปคุยอวดชาวบ้าน (ซึ่งไม่มีอะไรให้คุย เพราะคนที่อ่านออกมีเป็นล้านคน) แต่เพราะเรามีทางเลือก แต่ตอนนี้บอร์ดแห่งหนึ่งที่เราเคยเข้าเป็นประจำมักมีคนมาตั้งคำถามทำนองที่ ว่า "กรุณาบอกชื่อภาษาไทยด้วยนะคะ เราอ่านอังกฤษไม่ออกค่ะ"

โอเค ประโยคข้างบนก็ดูสุภาพดี แต่ถ้าโดนประโยคนี้หลังจากคุณสาระแนเข้าไปตอบคำถามของเขาแล้ว ก็ชักจะเสียความรู้สึก ก็แหมอุตส่าห์เข้าไปตอบ (อันที่จริงก็เข้าสอดนั่นล่ะ) ดันโดนตอกกลับมาอย่างนี้

อย่างที่เคยบอกล่ะค่ะ ไม่ได้ตั้งใจกระแดะ แต่มันไม่รู้จริงว่าภาษาไทยชื่ออะไร เพราะถ้าไม่ใช่เรื่องที่รักกันจริงแล้ว ไม่อ่านภาษาไทยค่ะ เพราะไม่รู้จะอ่านไปทำไม ตอนอ่านภาษาอังกฤษก็ยังไม่ชอบเลย แล้วจะชอบภาษาไทยไปได้ยังไง

เราตอบคำถามในบอร์ดด้วยชื่อภาษาอังกฤษ เพราะว่าเราไม่รู้ชื่อภาษาไทย เนื่องจากไม่ได้อ่านมาตั้งนานแล้ว

คำตอบสุดท้าย (ที่ไม่ใช่รายการแฟนพันธุ์แท้) หลังจากเขียนมานาน เราควรเลิกเข้าบอร์ดนั้น เพราะยังไงเราก็คงเลิกอ่านภาษาอังกฤษไม่ได้ค่ะ

Why Blog?

เขียนครั้งแรก 17/10/06

เราสงสัยมาพักใหญ่แล้วล่ะว่าทำไมคนถึงต้องเขียนบลอคกัน มันมีอะไรน่าสนใจหนักหนากับการให้ชาวบ้านมาอ่านสิ่งที่เราเขียน เงินหรือก็ไม่ได้อย่างนักเขียนที่พิมพ์หนังสือขาย ตลอดมาก็เลยไม่เคยคิดจะทำบลอค จนกระทั่งวันนี้

เมื่อความเครียดในที่ทำงานถึงจุดสูงสุด แต่ไม่ต้องกลัวนะคะ เราไม่คิดจะใช้พื้นที่ตรงนี้เป็นที่บ่นเรื่องชาวบ้านที่คุณคนอ่านก็คงไม่ รู้จัก ถ้าไม่ได้บังเอิญทำงานที่เดียวกะเรา หมอโรคจิตที่เคยรู้จักให้คำแนะนำว่าบางครั้งคุณก็ไม่ควรจะมัวเครียดกับปัญหา และเราก็คิดว่า ถ้าไม่โทรศัพท์ไปตามราวีเพื่อนให้รับฟังเรื่องที่เขาก็คงไม่อยากฟัง ก็ใช้เวลาเขียนเรื่องที่เราชอบดีกว่า

นั่นก็คือหนังสือ

เราอ่านหนังสือมาตั้งแต่จำความได้ เพราะที่บ้านเป็นหนอนกันหมด จนบัดนี้ก็ยังไม่โตเต็มวัยพอจะกลายเป็นแมลงวัน ยังคงเป็นหนอนหนังสืออยู่ เราอ่านหนังสือทุกชนิดที่ผู้ใหญ่อ่านกัน เพราะที่บ้านไม่มีเด็ก ก็เลยไม่ค่อยได้อ่านการ์ตูน จึงเป็นคนที่ตกยุคมากที่ไม่รู้เรื่องการ์ตูน รู้จักแต่หนังสือนิยายเล่มหนาตั้งแต่ยังเรียนประถม จากนั้นตอนมัธยมก็สำเร็จการศึกษาจากนิยายไทยไปนิยายแปล และมาเป็นนิยายภาษาอังกฤษ แต่ก่อนตอนที่ยังพยายามเก็กก็มักจะบอกชาวบ้านว่าอ่านนิยายลึกลับสอบสวน เดี๋ยวนี้ก็ยังอ่านอยู่ค่ะ เพียงแต่ใจกล้าหน้าด้านขึ้น

ตอนสอบสัมภาษณ์เข้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ถูกถามว่าชอบอ่านหนังสือของใคร เพราะดันไปบอกเขาว่ามีงานอดิเรกคืออ่านหนังสือ ถ้าคนเห็นแก่หน้าตาตัวเองหน่อยก็คงบอกเขาไปว่าชอบเรื่อง War and Peace ของ นักเขียนชาวรัสเซียชื่อดัง แต่บังเอิญเราจำชื่อนายคนนั้นไม่ได้ ก็เลยตอบไปตามตรงว่าชอบงานเจนย์ แอนด์ เครนซ์ สำหรับคนที่ไม่รู้จักชื่อนี้ก็ขอแนะนำว่า หาบลอคอื่นอ่านดีกว่าค่ะ เพราะคงอ่านสิ่งที่เราเขียนไม่รู้เรื่องแล้วเป็นแน่ เพราะนี่เป็นชื่อของนักเขียนนิยายที่คนไม่ได้อ่านหลายคนบอกว่าเป็น "หนังสือโป๊" แต่เราขอเรียกชื่อที่ถูกต้องตามสุภาพชนเขาใช้กันนะคะ ก็คือนิยายโรแมนซ์

นิยายโรแมนซ์มันสนุกยังไง หลายคนอาจถาม สำหรับเราแล้วคำถามนี้ตอบได้ด้วยวิธีเดียวก็คือ ลองเดินไปซื้อมาอ่านดูแล้วกันค่ะ แล้วคุณจะรู้ ขอให้ซื่อสัตย์กับตัวเองแล้วกัน

ใครบ้างจะไม่ชอบอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับความรัก ผู้ชายที่รักผู้หญิงคนหนึ่งจนหมดหัวใจ และแน่ล่ะฉากเซ็กส์อันเร้าใจ เพราะนิยายโรแมนซ์ส่วนใหญ่จะไม่ได้จบที่หน้าประตูหน้านอน โรแมนซ์บางเล่มเกิดขึ้นตั้งแต่ตัวละครยังไม่ทันปิดประตูบ้านด้วย โดยเฉพาะสมัยนี้ที่เทรนด์นิยายฮ็อทมาแรง คุณแทบจะได้กลิ่นเซ็กส์ตั้งแต่หน้าแรกที่เปิดอ่านด้วยซ้ำ

แต่เราจะไม่ได้พูดถึงเซ็กส์...เพียงอย่างเดียว คุณเลี่ยงไม่ได้หรอกถ้าจะพูดถึงโรแมนซ์โดยไม่กล่าวถึงเซ็กส์ โอเคอย่างน้อยสำหรับเรา

จบแล้วค่ะสำหรับกระทู้เกริ่นนำ สรุปใจความใหม่อีกครั้งก็คือบลอคนี้จะพูดเรื่องหนังสือ ส่วนใหญ่จะเป็นโรแมนซ์ ยกเว้นเวลาที่หนังสือของลอเรล เค. แฮมิลตันออกจะของเวลาพูดถึงแนวแฟนตาซีเล็กน้อย ก็ทนกันบ้าง

อ้อลืมบอกไปค่ะว่าเรื่องส่วนใหญ่ที่พูดถึงจะเป็นภาษาอังกฤษนะคะ บางเล่มอาจะมีคนแปลแล้ว บางเล่มอาจไม่มีใครสติดีพอคิดจะเอาไปแปล โดยรวมคงบอกว่าไม่ได้กระแดะค่ะที่เขียนถึงแต่เรื่องที่เป็นภาษาอังกฤษ แต่กระแดะจริงจริง

ท้ายสุดจริงจริงก็คือขออภัยภาษาไทยด้วย เราไม่มีข้ออ้างหรอกค่ะว่าไปอยู่ต่างประเทศเสียนานจนภาษาไทยบรรลัย แต่เพราะขี้เกียจเรียนวิชาภาษาไทยค่ะ ภาษาก็เลยวิบัติมาจนตอนโต

เมื่อตาอยู่ฉกชิ้นปลาไปกิน

แม้จนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่ได้เหยียบ เท้าเข้าไปยังงานสัปดาห์หนังสือ แต่ก็ได้ข่าวคราวหนังสือใหม่จากบรรดาเพื่อนฝูงมากมาย แต่ไม่มีข่าวการออกหนังสือเล่มไหนที่ฟังแล้วจะทำให้เรารู้สึกขบขำได้เท่ากับ หนังสือเรื่อง Every breath you take ของ Judith McNaught

สำหรับแฟนโรแมนซ์ประเภทไม่ยอมตาย (มาจากคำว่า die hard ค่ะ แต่แปลเป็นไทยจะได้ไม่ดูเหมือนพวกพูดไทยคำอังกฤษคำ แต่พอแปลมาแล้วความหมายไม่ค่อยจะเป็นมงคลเลย) คงรู้จักเจ๊จูคนนี้เป็นอย่างดี (แม้ จะมีเจ๊จูอีกคน แต่คิดว่าแฟนหนังสือคงแยกออกว่าใครเป็นใคร) เพราะถือเป็นนักเขียนระดับแนว เรียกว่าหนังสือแกพิมพ์ใหม่ประมาณ 20 ครั้ง (อันนี้พูดแบบเวอร์) โดยหลายสำนักพิมพ์ บางเรื่องก็แปลโดยนักแปลหลายคน (ซึ่งแต่ละคนก็แปลไม่เหมือนต้นฉบับสักกะคน)

เจ๊จูสร้างชื่อเสียงมาจากการเขียนหนังสือเรื่อง "วิทนีย์ที่รัก" (Whitney, My love) เมื่อ 30 กว่าปีก่อน ที่ตอนนี้ยังสุดฮิตในหมู่นักอ่านชาวไทย ตัวเราเองไม่ได้อ่านงานเล่มใหม่ของเจ๊มาตั้งแต่เรื่อง "คืนกระซิบ" (Night Whispers) แล้ว เพราะดูเรื่องใหม่แล้วก็ไม่มีความรู้สึกว่าอยากอ่านเสียเท่าไหร แต่สำหรับแฟนชาวไทยชื่อเจ๊ก็ยังเป็นเครื่องการันตีการขายได้อยู่

จากแหล่งข่าวที่ไม่อาจเปิดเผยได้ (ก็คือข่าวลือนั่นเอง) มีสองสำนักพิมพ์ตบตีแย่งชิงกันจะทำหนังสือเรื่องนี้ให้ได้ ถึงขนาดที่สำนักพิมพ์หนึ่งโทรศัพท์ไปยังอีกสำนักพิมพ์หนึ่งว่า "อย่า บังอาจทำหนังสือเรื่องล่าสุดของเจ๊จูเด็ดขาด เพราะฉันจะทำเอง" ประโยคที่อยู่ในวงเล็บนี่เราแต่งขึ้นทั้งหมดค่ะ เพราะไม่ได้บังเอิญเป็นแมลงวันอยู่แถวโทรศัพท์ก็เลยไม่รู้ว่าเขาคุยกันยังไง บ้าง แต่ใจความก็ประมาณนี้ล่ะค่ะ

น่าแปลกก็คือ ไม่มีสำนักพิมพ์ไหนคิดจะซื้อลิขสิทธิ์มาทำให้หมดเรื่องหมดราวไปเลย ข่าวคราวหนังสือเรื่อง "ทุกลมหายใจที่เธอสูดเข้าไป" ก็เงียบลง จนกระทั่งในงานสัปดาห์หนังสือที่จู่ ๆ สำนักพิมพ์หนึ่งก็วางฉบับแปลของหนังสือเล่มนี้ขาย

ที่สำคัญสำนักพิมพ์ที่ทำเป็นมือที่สาม (เราหมายถึงมือที่สาม ไม่ใช่สำนักพิมพ์ชื่อมือที่สาม) สำนักพิมพ์ที่ช่วงหลังไม่ค่อยทำหนังสือโรแมนซ์แล้ว และดูจะเงียบเหงาไปพอควร ก็กลับมาสร้างชื่ออีกครั้งด้วยการแปลหนังสือเล่มล่าสุดของเจ๊จู

สำหรับเราเป็นเรื่องน่าขำค่ะ เพราะเห็นตาอินกะตานาแย่งกันแทบเป็นแทบตาย สุดท้ายก็โดยตาอยู่คว้าเอาพุงปลาไปกินซะงั้น

ใครจะได้แปลไม่ใช่เรื่องสำคัญกะเรา เพราะคงไม่อ่าน ขนาดซื้อภาษาอังกฤษมาทิ้งไว้หัวเตียงก็ยังไม่คิดจะเปิดอ่าน แต่เรามีคำถามในใจเล็กน้อย

1. ตาอยู่ซื้อลิขสิทธิ์หรือเปล่า ข่าวแว่วว่าประกาศว่าซื้อ แต่พอเปิดตัวหนังสือดูกลับไม่ให้ความรู้สึกว่าซื้อลิขสิทธิ์เลย เมื่อเราด้วยนิสัยชอบสอเรื่องชาวบ้าน เราเลยลองค้นข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ไม่ประสงค์ออกนาม (ข่าวลือนั่นแหละ) ดูเหมือนจะไม่มีข่าวการซื้อลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์นี้เลย แต่เรายังไม่สรุปเรื่องนี้นะคะ เดี๋ยวจะลองสืบข้อมูลต่อไป

2. ตาอยู่ใช้เวอร์ชั่นไหนในการแปล เพราะสำหรับเรื่อง "ลมหายใจ" เนี่ยมีสองเวอร์ชั่นค่ะ เนื่องจากตอนที่พิมพ์ขายครั้งแรกในฉบับปกแข็ง (ภาษาอังกฤษ) เจ๊จูโดนบาซูก้าถล่มถึงความไม่โรแมนติกของเนื้อเรื่องอย่างมาก จนเจ๊แกต้องขอแก้ตัวเมื่อนำเรื่องมาพิมพ์ใหม่ในฉบับปกอ่อน ด้วยการเติมฉากโรแมนติกระหว่างพระเอกกะนางเอกเข้าไปเพิ่ม เราก็เลยอยากรู้ว่าเขาใช้เวอร์ชั่นไหนในการแปล

3. ตาอยู่แปลครบทุกเนื้อความหรือเปล่า เพราะมีข้อสังเกตมาจากเพื่อนว่าเล่มบางผิดปกติวิสัยของเจ๊จู ทั้งที่ต้นฉบับภาษาอังกฤษก็หนาตามปกติ ประเด็นนี้เราใบ้กินค่ะ เพราะกระทั่งตัวหนังสือก็ยังไม่เห็น ประเด็นที่เราเห็นว่าน่าคิดก็คือ ผู้แปลเรื่อง "ลมหายใจ" นี่มีประวัติชอบตัดฉากเข้าด้ายเข้าเข็มระหว่างพระเอกกะนางเอก ประเภทเป็นคุณระเบียบรัตน์ (ขอโทษด้วยที่พาดพิงค่ะ) แห่งวงการหนังสือโรแมนซ์ เพราะจะเซ็นเซอร์ฉากอย่างว่าให้อยู่แค่หน้าประตูห้องนอน เรื่องไหนที่ว่าฮ็อตเด็ดถึงใจ คุณป้าแกตัดฉับฉับ หายไปในพริบตา

ซึ่งทำอย่างนี้ก็ดีค่ะ (กัดฟันพูดมาก) เด็กจะได้ไม่เสียคน แต่ความจริงก็คือ ถ้าคิดจะแปลโรแมนซ์แล้วตัดฉากเอ็กซ์นี่ ไปแปลหนังสือเด็กดีกว่าไหมคะ

สำหรับเรื่องนี้ซึ่งคาดว่าคงเอ็กซ์น้อยอยู่แล้ว เพราะเจ๊จูยุคใหม่ไม่ค่อยเอ็กซ์ค่ะ ก็เลยไม่รู้ว่าจะเหลือฉากพรรณนี้อีกสักเท่าไหร

สรุปจบบลอกนี้คงต้องบอกว่า อ่านแล้วใคร่ครวญหน่อยแล้วกัน เพราะคงเห็นว่ามีข่าวจากแหล่งข่าวที่ไม่ประสงค์ออกนามเยอะมาก

คำเตือน ชื่อภาษาไทยนี่เราตั้งเองทั้งสิ้นค่ะ จากการแปลตามภาษาอังกฤษ ไม่ได้เป็นชื่อหนังสือของสำนักพิมพ์ไหนทั้งสิ้น ดังนั้นขอร้องว่าอย่าไปเดินหาในงานหนังสือด้วยหนังสือชื่อข้างต้น (อาจถูกหัวเราะเยาะได้)

UPDATE:ได้ รับการยืนยันความสงสัยในหัวข้อที่หนึ่งแล้วค่ะ ว่าตาอยู่ซื้อลิขสิทธิ์จริง ขอคารวะค่ะที่สามารถมาก ไม่มีข่าวหลุดมาให้แหล่งข่าวที่ไม่อาจออกนามได้ล่วงรู้เลย

ว่าด้วยเรื่องลิขสิทธิ์

เนื่องจากเป็นวันหยุดเราจึงมีเวลาคิดเรื่องไร้สาระได้มากกว่าวันทำงาน ก็เลยนั่งคิดถึงเรื่องที่อันที่จริงก็ไม่เกี่ยวกะเราเท่าไหร แต่ด้วยนิสัยสอเรื่องชาวบ้านก็เลยอดไม่ได้ที่จะแสดงความเห็น

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมามีกระทู้ที่บอร์ดแห่งหนึ่งพูดในทำนองต่อว่าสำนัก พิมพ์แห่งหนึ่งที่ซื้อลิขสิทธิ (มีคนเตือนมาค่ะว่าคำว่าลิขสิทธิไม่ต้องใส่ตัวการันต์ ก็เลยแก้เริ่มจากบลอกนี้ ส่วนของเดิมช่างมันนะคะ ขี้เกียจแก้) งานของนักเขียนคนหนึ่งที่อีกสำนักพิมพ์หนึ่งทำอยู่เป็นประจำ คนที่ไม่รู้ต้นชนปลายมาก่อนก็คงจะงง ว่าไอ้นี่พูดเรื่องอะไร แต่ที่น่าสนใจก็คือสำนักพิมพ์ที่ทำก่อนไม่ได้ซื้อลิขสิทธิน่ะสิคะ อย่างนี้คนที่มาทีหลัง (ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นคนผิด) เขาผิดหรือเปล่า

เรื่องมันมีอยู่ว่า สำนักพิมพ์แห่งหนึ่งซื้อปกติแล้วก็ออกงานนิยายแปลเป็นประจำ แต่ชนิดที่ไม่ได้ซื้อลิขสิทธิเป็นเรื่องราว แต่ทำงานในระดับที่ลูกค้ายอมรับทั้งในเรื่องคุณภาพและราคา ออกงานแนวรักโรแมนติกของนักเขียนคนหนึ่งมาหลายเล่ม เรียกว่างานส่วนใหญ่ของนักเขียนคนนี้ถูกสำนักพิมพ์นี้ทำจนเกือบหมด แต่แล้วในงานสัปดาห์หนังสือ (อ้อขอบอนิดนึง เพราะโดนติงมากอีกว่า งานหนังสือเดือนตุลานี่ไม่ใช่งานสัปดาห์หนังสือนะ เค้าชื่องานมหกรรมหนังสือต่างหาก) ครั้งก่อนสำนักพิมพ์ทุนปึกจากค่ายเทปก็ออกงานเล่มใหม่ล่าสุดของนักเขียนคน นี้ โดยติดต่อซื้อลิขสิทธิถูกต้อง

เสียงตอบรับนั้นเหรอ ถ้าดูจากกระทู้ที่เราได้อ่านก็คือได้ก้อนอิฐก้อนมหึมา ทั้งในเรื่องคุณภาพการแปลที่นักแปลแปลเรื่องรักโรแมนติกไปเป็นเรื่อง วรรณกรรมไก่ (chic lit) เราเองไม่ได้อ่านนะคะ อันนี้เป็นความเห็นชาวบ้าน เราไม่รู้ค่ะ แต่เราว่าก็น่าเป็นได้ เพราะดูชื่อนักแปลแล้ว คิดว่าชีวิตนี้คุณเธออาจจะไม่เคยอ่านหนังสือโรแมนซ์เลยด้วยซ้ำ รวมทั้งยังโดนเรื่องราคาที่แพงยิ่งกว่าหนังสือภาษาอังกฤษเสียอีก (แต่ข้อนี้อาจไม่ตรงนัก เพราะตอนที่หนังสือฉบับภาษาไทยออกขายนี่ ภาษาอังกฤษยังเป็นปกแข็งอยู่ ราคาภาษาอังกฤษจึงแพงกว่า แต่ปัจจุบันเรื่องปกอ่อนออกแล้ว ราคาภาษาไทยก็เลยกลับมาแพงกว่าอีก) หลายคนออกความเห็นในแนวที่ว่า น่าจะปล่อยให้สำนักพิมพ์เดิมทำจะดีกว่า แล้วสำนักพิมพ์นั้นอยากทำก็ให้ไปหานักเขียนใหม่ ๆ ทำแทน

แต่ถ้ามองอีกมุมนึง เขาผิดด้วยหรือที่เล่มตามกฎ ซื้อลิขสิทธิอย่างถูกต้อง เรื่องราคาที่แพงขึ้นมาก็ช่วยไม่ได้นี่ มีค่าลิขสิทธิด้วย

ถ้าเป็นสมัยก่อนต้องไปออกรายการมองต่างมุม แต่สมัยนี้คงต้องเป็นถึงลูกถึงคน บังเอิญว่าเรื่องนี้มันเล็กเกินกว่าใครจะสนใจ สุดท้ายก็เลยกลายเป็นบลอกของแม็กซ์ตรีม

เรามองว่าสำนักพิมพ์ไม่ผิดที่ซื้อหนังสือมีลิขสิทธิ แต่ไม่เหมาะสมเท่าไหรที่ไปแย่งที่ทำมาหากินของคนอื่น แต่นี่ก็เป็นเรื่องของธุรกิจ ถ้าคุณเปิดช่อง ในที่นี้ คุณเลือกที่จะทำงานอย่างไม่ถูกต้องกฎหมาย คุณก็ต้องยอมรับผลอันนั้นเอง

ถ้าสำนักพิมพ์ไพเรตอยากสู้ หรือปกป้องสิทธิของตัวเองที่อุตส่าห์ทำตลาดให้งานของนักเขียนคนนี้ คราวหน้าคราวหลังก็ควรคิดจะซื้อลิขสิทธิ คุณเองก็ได้ประโยชน์ไปไม่น้อยแล้วกับการทำงานโดยไม่มีต้นทุนส่วนนี้

สิ่งที่สำคัญสำหรับเราในเรื่องลิขสิทธิ

1. ระวังอย่าให้เกิดสงครามแย่งหนังสือกัน จนสุดท้ายฝรั่ง/ญี่ปุ่น/เกาหลี หรือชาติอื่นได้ประโยชน์ ยิ่งแย่งกันเท่าไหร เขาก็โก่งราคาได้เท่านั้น สุดท้ายจะกลับไปเหมือนยุคที่ราคาลิขสิทธิโคตรแพงจนไม่มีหนังสือออกขายเลย หรือออกมาก็ในราคาแพงโคตร จนอ่านภาษาอังกฤษยังถูกกว่า

2. เลือกคนแปลกันหน่อย เราเห็นหนังสือดีที่คนแปลชั่วมาเยอะมาก ถ้าคุณมีเงินถุงถังซื้อลิขสิทธิมาแล้ว ก็ลงทุนกะนักแปลหน่อย และหาบรรณาธิการเก่งมาตรวจต้นฉบับ เราเห็นหนังสือดีบรรลัยเพราะคนแปลมาเยอะแล้ว เสียดายหนังสือค่ะ

3. สำหรับพวกไพเรตก็ควรทำงานอย่างให้เกียรติชาวบ้านเขาหน่อย ไม่ใช่เห็นว่านักอ่านเป็นพวกหื่นกามก็เลยเติมฉากเซ็กซ์ลงไป (หรือถ้าอยากเติมก็หาฉากที่มันตื่นเต้นหน่อย ไม่ใช่ทำแบบเดิมซ้ำไปซ้ำมา เดี๋ยวคนเขาจะหาว่าพระเอกไม่มีพลิกแพลง) อีกอย่างเรื่องเปลี่ยนชื่อนี่ ขอบอกว่าทุเรศค่ะ เปลี่ยนก็ไม่ตรงกะยุคสมัย ยุคโบราณเปลี่ยนชื่อคนสมัยนี้ไปเฉยเลย หรือประเภทเห็นหนังสือของคนแต่งคนไหนดัง ก็เอาหนังสือของคนแต่งคนอื่นมาย้อมแมวบอกว่าเป็นของคนเดียวกันเนี่ยก็ทุเรศ อีก อยากจะบอกว่าเอาเปรียบชาวบ้านเขาด้วยการไม่ซื้อลิขสิทธิแล้ว ก็อย่าทำตัวทุเรศมากนัก เคารพงานของคนแต่งเขาบ้าง เอาหนังสือเขามาหากินแล้ว อย่าทำเหมือนตัวเองมีความสามารถแต่งหนังสือเองได้ ถ้าคิดว่าตัวเองแต่งหนังสือเป็น ก็ไปเขียนนิยายซะ ไม่ต้องมาแปลหนังสือ

Hot Night // Shannon McKenna

เพิ่งอ่านเรื่องนี้จบไปแบบสดสดร้อนร้อน นั่นก็คือเรื่อง Hot Night ของแชนน่อน แม็คเคนน่า ซึ่งเป็นนักเขียนที่เราชื่นชอบมากที่สุดคนหนึ่ง หนังสือเรื่องนี้เราค่อนข้างตั้งหน้าตั้งตารอคอยนะคะ เพราะเข้าใจผิดคิดว่ามีพล็อตเรื่องแบบที่เราชอบ

คงเห็นคำว่าเข้าใจผิดที่เราพิมพ์ไป

ความเข้าใจผิดของเราก็คือคิดว่าหนังสือเรื่องเป็นเรื่องแนวผจญภัยหา สมบัติเรือสแปนิชโบราณ นางเอกเป็นนักโบราณคดี ส่วนพระเอกเป็นนักผจญภัย แต่เมื่อหยิบหนังสือมาอ่านเราก็พบว่าเราคิดผิดทั้งหมด

เริ่มตั้งแต่นางเอกไม่ใช่นักโบราณคดี แต่เป็นผู้จัดการฝ่ายจัดหาเงินทุนของพิพิธภัณฑ์ที่กำลังแสดงโชว์สมบัติจาก เรื่องสแปนิชโบราณ ส่วนพระเอกก็เป็นช่างกุญแจ

ใช่แล้ว คุณไม่ได้ตาฝาด พระเอกเรื่องนี้เป็นช่างกุญแจ

ทั้งสองได้พบกันเมื่อนางเอกลืมกุญแจไว้ในบ้านของตัวเอง และต้องโทรศัพท์ตามช่างกุญแจมาช่วยสะเดาะกลอน และพระเอกของเราก็มา ตามแนวของแชนน่อนอาการเจอกันครั้งแรกก็ร้อนแรงสมชื่อเรื่อง พระเอกของเราไม่ต้องการเงินค่าสะเดาะกุญแจ แต่ขอแลกเป็นเบอร์โทรศัพท์และจุมพิตจากนางเอก

เท่าที่อ่านงานของแชนน่อนมา เราว่าเรื่องนี้เป็นงานที่ดีที่สุดของเธอค่ะ เฉือนชนะเรื่อง "กลับมาหาฉัน" (Return to me) ได้นิดเดียวเอง ที่ชอบเรื่องนี้มากเพราะเรามองว่านี่เป็นพัฒนาการก้าวสำคัญของผู้แต่ง ในที่สุดเธอก็เขียนพระเอกที่ไม่มีอาการเหมือนคนเป็นโรคจิต และนางเอกที่มีกระดูกสันหลังมากพอจะกล่าวคำว่าไม่ กับพระเอกได้

เรื่องนี้เราชอบแซน (คิดว่าอ่านอย่างนี้นะ เพราะพระเอกชื่อเต็มว่าอเล็กแซนเดอร์) เขาเป็นผู้ชายที่มีภูมิหลังแต่ไม่ปล่อยให้มันมีอิทธิพลเหนือการกระทำของตัว เอง เราชอบที่เขาพร้อมจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้คู่ควรกะนางเอก ชอบที่เขายังคงรักษาความดิบเถื่อนตามสไตล์พระเอกของแชนน่อนเอาไว้โดยไม่ดู เหมือนพวกโรคจิต

เราชอบแอ็บบี้นางเอก แม้ว่าจะน้อยกว่าแซนมาก ชอบที่เธอมีสติมากพอ และใจร้ายกับพระเอก แม้ว่าหลายครั้งเรารู้สึกว่ามันเกือบจะข้ามเส้นไป เธอเคยมีประสบการณ์กับผู้ชายที่ผิดพลาด และพยายามเรียนรู้จากมัน เธอมีรายชื่อคุณสมบัติผู้ชายในสเป็คยาวเหยียด และเกือบทุกข้อไม่ใช่สิ่งที่พระเอกของเรามี เธอพยายามปฏิเสธเขา และนี่เองเป็นสิ่งที่ทำให้หนังสือเรื่องนี้น่าอ่าน เพราะแซนไม่ยอมแพ้โดยง่าย เขาตามตื้อเธอแม้จะถูกปฏิเสธ

แน่นอนว่าอาวุธสำคัญที่พระเอกของเรามีก็คือประกายไฟวูบวาบที่ทั้งคู่มี ให้กัน ซึ่งก็เป็นไปตามชื่อเรื่อง มันกลายเป็นค่ำคืนแห่งความร้อนแรง เมื่อแซนยื่นข้อเสนอขอเป็นคนรักแบบลับกับนางเอก เขาบอกกะเธอว่า ไม่จำเป็นจะต้องพาเขาออกโชว์กับเพื่อนฝูง ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะทำให้เธอขายหน้า ขอแค่ให้ยอมรับเขาเป็นคนรักในความมืดกับเธอ

ผู้หญิงคนไหนจะปฏิเสธข้อเสนออย่างนั้นได้ แอ็บบี้ก็เช่นกัน

ธีมหลักของเรื่องก็คือการสอนนางเอกว่า ชายในฝันไม่จำเป็นจะต้องสมบูรณ์แบบ ผู้ชายที่มีคุณลักษณะตรงกับที่แอ็บบี้ต้องการ สุดท้ายก็กลายเป็นฆาตกรโรคจิต ในขณะที่ช่างกุญแจที่ทำงานกะดึกของเรากลับเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวที่เธอรอคอย มานาน

โดยรวมแล้วไม่ผิดหวังกับเรื่องนี้ค่ะ ไม่รู้ว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้ยินข่าวลือจากเพื่อนมาว่าเรื่องนี้ไม่สนุก หรือเปล่า ทำให้เราไม่ค่อยได้ตั้งความหวังเท่าไหร ทำให้พออ่านเข้าจริงจึงรู้สึกสนุกมาก

Crazy Hot // Tara Janzen (ฉบับภาษาไทย)

อ่านเรื่องนี้จบตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน แต่เมื่อวานเกิดอาเพศใหญ่ทำให้เข้าบลอคไม่ได้ก็เลยต้องหยุดไปวันนึงอย่างไม่ตั้งใจ

เรื่องนี้ (ชื่อภาษาไทยเป็นของสำนักพิมพ์นะคะ เราไม่ได้ตั้งเอง) แปลมาจากเรื่อง
Crazy Hot ของ Tara Janzen เป็นหนังสือไม่กี่เรื่องที่เราตั้งหน้าตั้งตารออ่านในฉบับภาษาไทย

ทำไมหรือ

เพราะเราชอบเรื่องชุดนี้มากน่ะสิ (ไม่น่าถาม)

คำตัดสินว่าไงงั้นหรือ เราคิดว่าแปลได้ดีค่ะ ซึ่งก็ไม่ผิดคาด เพราะนักแปลเรื่องนี้ถือว่ามีชื่อเสียงพอสมควรในวงการหนังสือโรแมนซ์ การแปลความถือได้ว่าถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ นอกจากจุดเล็กน้อยสองสามจุดก็ถือว่าดีค่ะ

เราไม่ได้ยกตัวเองเป็นท่านเปาตัดสินว่าหนังสือเรื่องไหนแปลดีหรือไม่ดีนะคะ เพราะว่าไม่ได้เก่งขนาดนั้น เราวัดฝีมือการแปลจากมิเตอร์ที่มีประสิทธิภาพที่สุดของตัวเองก็คือ เราอ่านรู้เรื่องมากแค่ไหน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากในวงการโรแมนซ์เพราะมีนักแปลหลายระดับ ตั้งแต่ไส้เดือนกิ้งกือไปจนถึงเทวดาบนสวรรค์ ถ้าคุณไม่เคยอ่านหนังสือที่แปลห่วย ลองมาอ่านโรแมนซ์สัก 10 เล่ม เชื่อได้เลยว่าจะต้องเจอสักเล่มสองเล่มที่เข้าขั้นห่วยขว้างติดกำแพง นักแปลบางคนเก่งขนาดแปลเรื่องสนุกให้เป็นเรื่องสงัด หนังสือสุดสนุกเป็นหนังสือสุดกร่อย

เป็นโชคดีของ Crazy Hot ที่ได้นักแปลมีฝีมือ

ถ้าไม่นับการไล่ตามห่านป่าในหน้า 30 ก็ถือว่าการแปลค่อนข้างสมบูรณ์แบบทีเดียว

หนังสือเรื่องนี้เป็นการเปิดตัวชุด The Mission (แม้ว่าหน้าปกภาษาไทยจะใช้ชื่อว่าชุด Crazy ก็ตาม) ที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตแก็งค์โจรขโมยรถวัยกระเตาะที่เติบโตขึ้นมาแสบ ไม่แพ้กับอดีตวัยเด็ก แน่นอนว่าเป็นเรื่องปกติมากที่เด็กชายหน้าตาดี มีปัญหาทางบ้านจะมารวมกลุ่มกัน และโตขึ้นมาเป็นกลุ่มชายหนุ่มที่หน้าตาดี (ยังกะว่าเป็นไปได้ในชีวิตจริง ถามจริงเหอะถ้าเจอผู้ชายสุดหล่อคบกันเป็นเพื่อนสนิท คุณจะคิดว่าไง สำหรับเราแล้วเรดาร์เกย์ร้องลั่นเลย)

กลุ่มหนุ่มสุดหล่อ แสนเท่ห์เหล่านี้ทำงานให้กับหน่วยงานที่มิอาจเปิดเผยตัวได้ (อันนี้ไม่ใช่ข่าวลือ) มีหน้าที่พิทักษ์รักษาโลก ในภารกิจแรกควินน์ ยังเกอร์ที่ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บก็ได้มาเจอกะถ่านไฟเก่า ที่บังเอิญมาอยู่ผิดที่ผิดทาง

ตามสไตล์เรื่องชุดนี้ เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงแค่ข้ามคืน แต่นั่นจะเป็นค่ำคืนที่คุณเพลิดเพลินไปกับการผจญภัยของตัวละคร ได้ความรู้เรื่องรถขึ้นมาอีกเพียบ ได้อ่านฉากเซ็กส์ร้อน ๆ ตามชื่อเรื่อง และที่สำคัญคุณจะได้พบกับกลุ่มตัวละครที่มีเสน่ห์ที่สุดกลุ่มหนึ่งในหน้า หนังสือ

Second-time Bride // Lynne Graham

เป็นเวลาตีหนึ่งกว่า ในขณะที่กำลังเดินไปเข้าห้องน้ำครั้งสุดท้ายก่อนนอน ด้วยนิสัยที่ต้องมีหนังสือติดมือทุกครั้งที่เข้าห้องน้ำก็ยืนเลือกกอง หนังสือข้างเตียงอยู่พักใหญ่ ถึงเราจะกำลังอ่านเรื่อง Good girl gone bad ของ Karin Tabke อยู่ แต่คิดแล้วว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะอย่างยิ่งที่จะเอาเข้าไปอ่านในห้องน้ำ (ด้วยปัจจัยหลายประการ) ก็เลยหยิบหนังสือแปลเรื่องวิวาห์วนของเจ้าแม่ไข้เลือดออก ลินน์ เกรแฮมเข้าไปอ่าน

หนังสือเรื่องนี้ไม่ได้ซื้อมาเองค่ะ ปกติเราไม่อ่านงานของนักเขียนคนนี้เท่าไหร เรื่องนี้ได้มาเพราะเป็นอานิสงค์ของเพื่อนที่มีหนังสือเรื่องนี้หลายเล่ม ก็เลยได้ฟรีมาเล่มหนึ่ง

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะต้นทุนต่ำ เรื่องลินน์เปลี่ยนไป เราเลยรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นหนังสือที่สนุกมาก ถือว่าสนุกที่สุดที่เราเคยอ่านงานของเจ้าแม่น้ำเน่ารายนี้มาเลยก็ว่าได้

เรื่องนี้แตกต่างไปจากรูปแบบประจำของนางพญายุง เพราะนางเอกไม่ใช่สาวน้อยวัยกระเตาะที่โชค (โคตร) ดีที่พบรักกับเศรษฐีสารพัดประเทศที่แสนเย็นชา ผู้ชายที่ไม่น่าเชื่อว่าจะรอดปากเหยี่ยวปากกามาจนพบกะนางเอกได้ (ก็แหมหล่อรวยขนาดนั้น ยังเป็นโสดอยู่อีก ถ้าเป็นในชีวิตจริงคงไม่แคล้วโดนเม้าท์ว่าเป็นอีแอบแหง)

นางเอกเรื่องนี้เป็นสาวแก่วัย 30 ปี (แก่ความคิดของคุณลินน์นะคะ สำหรับเราแล้ว 30 ยังแจ๋วค่ะ) ที่เคยมีความหลังแต่งงานกับเศรษฐีชาวอิตาเลียน ชีวิตคู่ที่ไม่ประสบความสำเร็จ พร้อมกับเรือพ่วงอีกหนึ่ง เธอได้รับมาพบกับอดีตสามีอีกครั้งพร้อมกับการเปิดเผยความลับที่เก็บซ่อนมา นาน (ไม่ใช่อะไรเลยนอกจากเธอมีลูกกับเขา -- นางเอกในโรแมนซ์ไม่ค่อยซับซ้อนนักหรอกค่ะ ถ้ามีความลับส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นเรื่องนี้) แล้วทั้งคู่ก็กลับมามีโอกาสที่สองอีกครั้ง (อนึ่งเรื่องนี้ชื่อภาษาอังกฤษว่า Second-time bride นะคะ ไม่ใช่ Second-hand bride อย่างที่บอกไว้ในคำนำ)

พล็อตเรื่องเน่าสนิท แต่ถ้าคุณเป็นแฟนประจำของลินน์ เราขอเตือนคุณ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่ลินน์ธรรมดา แต่เป็นลินน์ที่เสียสติ เพราะเธอเขียนได้ดีมากอย่างไม่น่าเชื่อ อ่านเรื่องนี้แล้วชอบความมีกระดูกสันหลังของนางเอกไม่ตัวอ่อนปวกเปียวไปด้วย เซ็กส์ ส่วนพระเอกก็มีด้านอื่นนอกจากความแข็งกร้าว (ดั่งชาติชาตรีที่ยึดมั่นว่าเก็กไว้ก่อนพ่อสอนไว้) แม้จะเป็นสไตล์ลินน์ที่คนอ่านไม่ได้รับรู้ความคิดของพระเอก เพราะมัวแต่บรรยายถึงความรู้สึกของนางเอก แต่เราก็สัมผัสได้ถึงความรักที่เขามีให้

เราชอบเรื่องนี้ค่ะ และตอนนี้กำลังลังเลอยู่ว่าควรจะอ่านเรื่องอื่นของเจ๊ลินน์อีกดีไหม เพราะกลัวค่ะว่าจะไม่สนุกเท่ากับเล่มนี้

ข้อน่าสังเกตก็คือ หนังสือเรื่องนี้เขียนไว้เมื่อนานมาแล้ว เมื่อมาเทียบกับงานในปัจจุบัน ไม่น่าเชื่อว่าจะพัฒนาได้ลงขนาดนี้

Trouble in High Heels // Christina Dodd

หนังสือเล่มใหม่ล่าสุดของ Christina Dodd ที่ชื่อ Trouble in High Heels เรื่องราวที่ทนายความสาวสวยที่เพิ่งถูกแฟนหนุ่มทิ้ง จึงแต่งตัวออกไปล่อตะเข้ และหิ้วท่านเคาน์หนุ่มหล่อที่บังเอิญเป็นพระเอกของเรื่องกลับมาค้างอ้างแรม ด้วย

หนังสือที่อ่านสนุกตามสบายแนวคริสติน่า หนังสือที่อยู่ในระดับอ่านได้ อาจไม่น่าประทับใจเท่ากับงานเล่มอื่นในอดีตของเธอ แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร

จนกระทั่งความโง่มาเยือนนางเอก

เราไม่ใช่คนฉลาดนักหรอก แต่มักทนไม่ได้อย่างรุนแรงเวลาเจอนางเอกโง่ และแม่นางบรั่นดีนางเอกของเรื่องก็โง่กระทบใจอย่างยิ่ง

โง่จนอ่านแล้วทำลายความสุขที่ได้รับกับการอ่านไปจนหมดเรื่อง

โง่จนเครียด ต้องมาเขียนระบายในบลอก

พระเอกสุดหล่อของเราเป็นขุนนางชาวอิตาเลียนที่ต้องคดีขโมยเพชร ส่วนนางเอกก็เป็นทนายความของเขา ปัญหาก็คือ ก่อนหน้าที่ทั้งคู่จะรู้ตัวว่าเป็นทนายความลูกความกัน ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ชั่วข้ามอาทิตย์มาก่อน

เราไม่เข้าใจว่าเหตุใดคริสติน่าถึงเขียนเรื่องที่นางเอกโง่ได้บัดซบขนาดนี้ ขนาดพระเอกบอกแล้วว่าขอให้ไว้ใจ ก็ยังแส่ไปหาเรื่อง จนสุดท้ายชาวบ้านก็ต้องเดือดร้อนมาช่วย

สิ่งที่เราทนไม่ได้ก็คือ ลงท้ายเรื่องแล้ว พระเอกยังต้องเป็นฝ่ายมาง้อ

ไม่เข้าใจว่าคำว่าไว้ใจคำเดียว เธอยังให้เขาไม่ได้ แล้วจะร่วมชีวิตกันไปรอดหรือยังไง

อ่านเรื่องนี้แล้วเครียดมาก

เสียดายเรื่องที่อาจจะสนุก แต่ลงเอยด้วยความโง่

ขนาดอ่านเรื่องของลินน์มาหลายเล่มติดกันแล้วนะ นางเอกของลินน์ยังไม่เคยมีพฤติกรรมโง่ขัดใจได้ขนาดนี้ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่อ่านงานของคริสติน่าแล้วนางเอกจะโง่มากกว่านางเอก ของลินน์

Morrigan's Cross // Nora Roberts

หนังสือเล่มใหม่เกือบล่าสุดของเจ้าแม่แห่งวงการโรแมนซ์ นอร่า โรเบิร์ต หนังสือที่เป็นเล่มแรกในชุดหนังสือสามเล่ม

Morrigan's Cross ถือเป็นหนังสือที่นอร่าข้ามเส้นไปสู่แนวแฟนตาซีอย่างชัดเจนมากที่สุด เรื่องราวของความรักยังคงมี แต่ใจความใหญ่ของเรื่องคือแนวแฟนตาซีอย่างแท้จริง ดังนั้นการอ่านหนังสือเล่มนี้จบ ภารกิจซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของชุดยังคงมีอยู่ คนอ่านจะยังไม่ได้ข้อสรุปอันใดเลยกับการจบเพียงแค่เล่มเดียว

และนั่นคือปัญหาสำหรับเรา

แน่ล่ะเราสนใจเนื้อเรื่อง เราชอบตัวละคร แต่ทุกอย่างดูด้อยเมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของเนื้อเรื่อง Hoyt (ขอเขียนชื่อภาษาอังกฤษ เพราะอ่านไม่ออกค่ะ) เป็นพ่อมดที่สูญเสียน้องชายฝาแฝดไปให้กับลิลิธ แวมไพร์ที่ทะเยอทะยานอยากครองโลก เขาสู้กับลิลิธในตอนต้นเรื่องแต่ไม่อาจเอาชนะเธอได้ เขาบาดเจ็บ ช้ำใจ จนกระทั่งได้พบกับมอร์ริแกน เทพแห่งการสู้รบตามตำนานของไอริช ผู้ที่มอบหมายให้เขาออกเดินทางเพื่อคนหาผู้ร่วมอุดมการณ์อีกห้าคนที่จะเริ่ม การต่อสู้เพื่อรักษาโลกไว้จากการทำลายของลิลิธ

และตามสไตล์ของนอร่า ทั้งหกคนก็คือพระเอกและนางเอกของเรื่องในชุดทั้งสามเล่ม

Hoyt เดินทางจากไอร์แลนด์เมื่อพันกว่าปีก่อน มาถึงนิวยอร์คในยุคปัจจุบันที่ซึ่งเขาได้พบกับน้องชายผู้กลายเป็นแวมไพร์อีก ครั้งหนึ่ง และแม้ว่า Cian (อ่านว่าคีย์แอนตามคำศัพท์ด้านหลังเล่ม) จะไม่สนใจต่อการช่วยเหลือโลก แต่ก็ยอมที่จะให้ความร่วมมือกับพี่ชายเพื่อกำจัดลิลิธ และที่นิวยอร์คนั่นเองเขาก็ได้พบกับแม่มดสาวที่กลายมาเป็นนางเอกของเขา

ทั้งหมดเดินทางจากนิวยอร์คไปที่ไอร์แลนด์เพื่อฝึกผีมือเพื่อเตรียมต่อสู้ กับลิลิธ หนังสือเล่มนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ยังมีเนื้อเรื่องอีกเยอะในเล่มต่อไป และนั่นคือข้อด้อยสำหรับเรา อาจเพราะตอนที่อ่านเราไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้จะมีความเป็นแฟนตาซีมากขนาดนี้ ถ้าเราเริ่มอ่านโดยคิดว่านี่เป็นแนวแฟนตาซีก็คงไม่แปลกอะไร เรารู้สึกว่าเรื่องนี้มันขาดเนื้อหาไปบางส่วนเพราะทั้งเรื่องมุ่งหน้าไปยัง การกำจัดลิลิธ หากแต่ตอนจบกลับไม่มีบทสรุป

สุดท้ายเราไม่ถึงกับไม่ชอบเรื่องนี้ แต่เพราะเรื่องมีความต่อเนื่องและเป็นแฟนตาซีมากกว่าที่คิดก็เลยทำให้เรา อ่านแล้วรู้สึกแปลก คำแนะนำที่ให้ได้สำหรับคนที่ยังไม่อ่านเรื่องนี้ก็คือ อย่าคิดว่าเรื่องนี้เป็นโรแมนซ์ หรือหนังสือเล่มเดียวจบ หรือแม้กระทั่งเป็นหนังสือที่จบในตอน คิดว่านี่เป็นมหาการ์ฟ (สะกดยังไงนี่) อย่างหนังสือเรื่อง Lord of the ring ที่ต้องนั่งดูหนังสือกันสามปีกว่าจะจบ แล้วคุณจะสนุกกับเรื่องนี้มากขึ้น

Crazy Sweet // Tara Janzen

ชื่อนี้เราตั้งเองเลียนแบบชื่อภาษาไทยของหนังสือชุดนี้ที่เพิ่งออกมาได้เล่ม เดียว คนที่อ่านเล่มแรกแล้วกระโดดข้ามมาอ่านเล่มนี้เลยอาจจะรู้สึกงงกับชีวิตนิด หน่อย เพราะจะได้เห็นตัวละครที่ออกมามีบทบาทในเล่มแรกเป็นนายแบบภาพนู้ด ที่หลงรักนางเอกภาคแรก เปลี่ยนแปลงตัวเองมาเป็นสายลับสุดเท่ห์

ปกติเราไม่ชอบเรื่องที่เปลี่ยนแปลงบุคลิกตัวละครแบบหน้ามือเป็นหลังมือ แบบนี้ แต่ไม่น่าเชื่อว่าการเอาทราวิส เจมส์มาแปลงกายกลับได้ผล อาจเพราะทาร่าไม่ได้ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงเพียงชั่วข้ามคืน ทราวิสมีเวลากว่า 4 เล่มก่อนจะกลายเป็นแองเจล ซึ่งเป็นโค้ดเนมของเขา โดยเฉพาะในเรื่องเครซี่ คิสที่เราได้เห็นสิ่งที่อยู่ในสมองของเขา ได้ยินความคิดของเขา และรู้เหตุผลที่เขาเลือกจากเปลี่ยนเส้นทางจากการเป็นผู้ช่วยชีวิต มาเป็นผู้พรากชีวิต

แต่ถึงแม้การเปลี่ยนแปลงของทราวิสจะได้ผลสำหรับเรา หรือแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงของกิลเลี่ยนนางเอกจากเลขานุการขี้อายกลายเป็นนัก ฆ่าสุดโหดก็จะได้ผลสำหรับเรา หนังสือเรื่องนี้กลับไม่ได้ผล นั่นเพราะว่าคนแต่งให้เวลากับตัวละครสองตัวนี้น้อยเกินไป มากกว่าครึ่งเรื่องเราได้เห็นความสัมพันธ์ของพระเอกนางเอกในเล่มถัดไป (ชื่อเรื่องแปลเป็นไทยว่ากำลังเพ่นพล่าน - On the loose) เราชอบซี. สมิท และอยากเห็นเรื่องของเขา แต่เราก็อยากรู้จักทราวิสและเรด ด็อกให้มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ซับซ้อนมากเพียงใด

อีกประเด็นหนึ่งที่เราไม่เข้าใจว่าทำไมคนแต่งต้องเอาเข้ามาใส่ในเรื่องก็ คือ ตัวท่านลอร์ดชาวอังกฤษผู้ที่เป็นเจ้าพ่ออาชญากรรม โอเคเรายอมรับว่าหลงเสน่ห์ตัวละครที่ไม่ออกตัวนี้ไปไม่น้อย ก็แหมตรงสเป็คเราเลยล่ะ เป็นตัวร้าย (ที่เราคิดเองว่าจะต้องมีอะไรมากกว่านั้น) เขาถูกกล่าวถึงในฐานะผู้ชายในอดีตของนางเอก คนที่นางเอกมีความสัมพันธ์ด้วยแม้ในขณะที่ยังคบอยู่กับพระเอก เราไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมถึงต้องเอาตัวละครตัวนี้เข้ามาเกี่ยว เพราะอ่านจนจบเรื่องเราก็ยังรู้สึกว่า ไม่ออกก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกะเรื่องตรงไหน

อาจเพราะว่าเราผิดหวังที่ไม่ได้เห็นข้อสรุปในความสัมพันธ์ของทราวิสกะกิล เลี่ยน เราก็เลยรู้สึกผิดหวังมากกับเรื่องนี้ เพราะอ่านจนจบเรื่องเราก็ไม่รู้สึกว่ามีความคืบหน้าอะไรเลยระหว่างทั้งคู่

ตอนเปิดเรื่องก็รู้ว่ารักกันแล้ว รู้ว่ามีเซ็กส์กันแล้ว แต่กิลเลี่ยนก็ยังทรยศทราวิสเพื่อการแก้แค้น วิธีการแก้ปัญหาก็ง่ายมาก ไม่ใช่ทำให้กิลเลี่ยนต้องละทิ้งการแก้แค้น (เหมือนอย่างที่ซาร่าบังคับให้เพริกรีนทำใน Silk and Shadows - ซึ่งเป็นหนังสือที่ดีมากที่สุดเล่มหนึ่ง -- แปลว่าไปหามาอ่านได้แล้ว) กลับกลายเป็นการให้ดีแลนเปิดไฟเขียวเปิดทางให้กิลเลี่ยนสามารถแก้แค้นได้โดย ชอบธรรม เราก็เลยไม่เห็นสักนิดว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่พัฒนาไปข้างหน้าอย่างไร

แล้วยังประเด็นที่กิลเลี่ยนคิดในช่วงต้นเปิดเรื่องอีกที่บอกว่ายังไงเจ้า ลอร์ดกาแฟจะต้องเรียกร้องการตอบแทนจากเธอ ซึ่งเธอจำเป็นต้องจ่าย จนจบเรื่องก็ยังไม่รู้ว่าราคานั่นคืออะไร (เป็นไปได้ว่าทิ้งท้ายเอาไว้ในเล่มถัดไป) แต่ทำให้เรารู้สึกว่าเรื่องมันค้างคา เพราะอ่านยังไงก็ต้องคิดเอาเองว่าเจ้าลอร์ดนี่ต้องแอบหลงรักกิลเลี่ยนแหง แต่ดันไม่มีบทบาท

เราจะบอกให้ว่าเราคิดยังไงกับการที่ทาราเขียนเรื่องนี้นะคะ เราคิดว่าเพราะทราวิสไม่ใช่พระเอกที่เธอตั้งใจให้เป็นในเรื่องนี้ ข่าวตอนแรกก็คือซี.สมิทจะเป็นพระเอกในเครซี่สวีท แต่จู่ ๆ ก็พลิกโผ เหมือนตอนท่านนายกอานันท์ได้เป็นนายกรอบสอง ทราวิสก็กลายเป็นพระเอกโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ปัญหาก็คือ เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ของซี. สมิทน่าจะเขียนไปแล้ว ทำให้ทาร่าไม่มีเวลาเขียนเรื่องของทราวิสเท่าไหร ก็เลยใช้มุขตัดสลับ ระหว่างเรื่องของทราวิสกับซี.สมิท เหมือนกับที่ใช้ในเรื่องเครซี่คิส (แต่ในเครซี่คิสมันเวิร์คเพราะว่าเรารู้จักคิดกะนิคกี้ดี้แล้ว ไม่เหมือนในเรื่องนี้ที่เราแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรด ด็อกเลย) ทำให้สุดท้ายอ่านไปนึกว่าซี. สมิทเป็นพระเอก

แต่ถ้าถามว่าแฟนหนังสือชุดเครซี่ควรจะถอดใจกับชุดนี้ไหม คำตอบเราก็บอกให้เดินหน้าสู้ต่อค่ะ เพราะเหมือนอย่างที่เพื่อนผู้ทรงภูมิของเราคนนึงบอกไว้ แค่อ่านเล่มนี้แล้วได้เห็นตัวละครในเล่มก่อนหน้าก็คุ้มค่าแล้ว

สำหรับเราแล้วไม่ใช่ซุปเปอร์แมนที่ทำให้ใจสั่น (เอ๊นั่นนก, ไม่ใช่มันเป็นเครื่องบิน, ไม่ใช่... นั่นคือซุปเปอร์แมน--- คนละคนกันนะคะ) แม้ว่าจะคริสเตียนจะเท่ห์เหมือนเดิม สุดท้ายยังเป็นคนตามล่าผู้ร้าย แล้วเป็นคนเหนี่ยวไกอีกต่างหาก แต่เป็นการที่ได้เห็นความสัมพันธ์ของสกีตเตอร์กะดีแลน ทำให้เรารู้สึกว่าความรักของทั้งคู่ไปกันได้ราบรื่น

ยิ่งตอนที่สกีตเตอร์แต่งตัวออกมายั่วดีแลนต่อหน้าคริสเตียนแล้วยิ่งฮามาก ๆ แต่ทั้งหมดนี่คุณจะไม่รู้หรอกถ้าไม่ได้อ่านเล่มก่อนหน้า และรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างดีแลน, คริสเตียน และสกีตเตอร์เป็นยังไง

จบคำวิจารณ์เรื่องนี้โดยการบอกว่าให้รีบวิ่งกลับไปอ่านเครซี่ให้ครบทุก เล่ม ก่อนจะเริ่มอ่านเล่มนี้ เพราะจะทำให้ความเจ็บปวดจากการอ่านหนังสือเล่มนี้ลดลงได้ประมาณครึ่งนึง

The Rules of Seduction // Madeline Hunter

หลังจากผิดหวังกับหนังสือที่เรารู้สึกชัวร์ว่าสนุก (แต่หลายเล่มกลับกลายเป็นชั่วไป) ก็มาถึงเล่มที่เราไม่คาดหวัง เพราะผิดหวังกับเล่มก่อนหน้าของเธอมาหลายเล่มติดกัน เราก็ได้เจอเพชรแท้ของสิ้นปี 2549 แล้ว

กฎแห่งการล่อลวง (ตั้งชื่อบลอกเหมือนล่อพวกจิตอกุศลมาอ่านเลย) หรือ The Rule of Seduction เป็นหนังสือเล่มใหม่ล่าสุดของแมดเดลีน ฮันเตอร์ หนังสือที่ดูธรรมด้าธรรมดา พล็อตเรื่องแสนจะจำเจ แต่ไหงกลายเป็นหนังสือสนุกขึ้นมาได้

เฮย์เดน รอธแวล (ขอร้องล่ะ ผู้ชายชื่อเฮย์เดนนี่นะ นั่นคือความคิดแรกของเรา แต่พออ่านจบเรื่องเสียงความคิดเราก็กลาย โอ้เฮย์เดนจ๋า) เดินทางมาที่บ้านของนางเอก เพื่อพบกับญาติซึ่งเป็นผู้อุปการะนางเอก และกลับไปพร้อมกับทรัพย์สินทุกอย่างที่ญาติเธอ ทำให้เธอกลายเป็นคนไร้ที่อยู่ เพราะญาติไม่ยินดีที่จะเลี้ยงดูเธออีกต่อไปแล้ว เพราะแค่เลี้ยงตัวเองและน้องสาวก็แทบไม่พอ ทั้งที่ก่อนหน้าครอบครัวเธอถือเป็นผู้มีอันจะกินไม่น้อย คำอธิบายที่เธอได้รับกับการเปลี่ยนแปลงสถานภาพก็คือ เฮย์เดนตัดสินใจถอนเงินของตระกูลเขาออกจากธนาคารที่ญาติของเธอเป็นหุ้นส่วน อยู่ ทำให้ญาติของเธอต้องหมดตัวเพราะล้มละลาย นั่นทำให้อเล็กเซียนางเอกของเราเกลียดพระเอกอย่างมาก

เห็นรึยังคะว่าเรื่องไม่มีอะไรใหม่เลย และยังคาดเดาได้ง่ายกว่านั้นอีก เพราะพระเอกของเราต้องไม่ใช่คนใจไม้ใส่ระกำอย่างนั้นจริงไหม

จริงค่ะ

เพราะอันที่จริงเฮย์เดนไม่ได้เป็นผู้ทำลายญาติของเธอ หากแต่เขาค้นพบการฉ้อโกงเงินของธนาคารที่ญาติของเธอทำกับลูกค้าของธนาคาร เขาจึงเดินทางมาเพื่อเรียกร้องให้อีกฝ่ายชดใช้ และเขาจะยอมปิดปากเงียบกับการกระทำความผิดนั้น

ญาติของนางเอกยอมชดใช้ แต่ไม่วายที่จะอ้างเหตุผลที่เป็นการทำลายชื่อเสียงของพระเอก ซึ่งพระเอกก็ยังคงเป็นพระเอกที่ยึดมั่นในความพูดของตัวเองไม่ยอมเปิดเผยความ จริงแม้ว่าจะถูกเข้าใจผิด

หนังสือเรื่องนี้ไม่ได้หวือหวา แต่เป็นหนังสือที่ตัวละครเป็นผู้เดินเรื่อง เราได้รู้จักับเฮย์เดน น้องชายของท่านมาร์ควิสผู้ที่รับผิดชอบการเงินของครอบครัว คนที่ทำทุกอย่างด้วยความประสิทธิภาพดั่งหุ่นยนต์แต่กลับห้ามใจตัวเองกับนาง เอกไม่ได้ ผู้ชายคนที่ (โคตร) มีเกียรติ จนเรายังอ่อนละลายไปกับเขา ผู้ชายคนที่คิดว่าวิชาคณิตศาสตร์เป็นเครื่องพักผ่อนยามว่าง ผู้ชายที่รักนางเอกมาพอจะบอกรักกับนางเอกก่อน และรักมากพอจะยอมปล่อยให้นางเอกเดินจากไป ถ้านั่นหมายความว่าเธอจะได้อยู่กับผู้ชายที่เธอรัก

เฮย์เดนเป็นเหตุผลใหญ่ที่ทำให้เรื่องพล็อตง่าย ๆ นี่ได้ผล จากภายนอกที่เป็นผู้ชายเย็นชา ภายในเขาก็เย็นชา เพียงแต่เฉพาะกับอเล็กเซียเท่านั้นที่เขากลายเป็นผู้ชายอีกคน ผู้ชายที่ห้ามตัวเองไม่ให้มีความสัมพันธ์กับสาวบริสุทธิ์ไม่ได้ แต่ก็มีเกียรติพอที่จะยอมแต่งงานกับเธอ แม้ว่าจะไม่มีใครเลยที่เรียกร้องให้เขาทำ

อ่านเรื่องนี้แล้วขอเตือนว่าอย่าไปสนใจคำบรรยายเรื่องที่ด้านหลังปกมาก นัก เพราะไม่ตรงกับความเป็นจริง ถ้าคุณอ่านโดยคาดว่าจะเจอกับเฮย์เดนที่เป็นอัลฟ่าเมลแล้วล่ะก้อ บอกเลยว่าผิดหวังแน่ค่ะ แต่เขาก็ไม่ใช่เบต้า เขาเป็นเพียงคนที่รู้ใจตัวเอง และกล้าที่จะทำตามหัวใจเรียกร้องโดยไม่สนใจว่ามีใครคาดหวังให้เขาทำหรือไม่

ทั้งเรื่องนางเอกเข้าใจพระเอกผิดว่าเขาเป็นคนที่ทำลายครอบครัวของเธอ และพระเอกก็ถูกผูกพันโดยคำพูดของตัวเองทำให้ไม่สามารถบอกความจริงได้ ปกติเราไม่ชอบเรื่องอย่างนี้มากนัก เพราะมักรู้สึกว่าทำไมไม่พูดกันให้รู้เรื่องไปเสียที (วะ) แต่อย่างที่บอกมาตลอด เรื่องนี้ได้ผล เรานั่งชื่นชมกับเรื่องราวที่นางเอกค่อยตกหลุมรักพระเอกมากขึ้นทุกวันทุกวัน แม้ว่าสมองจะบอกเธอว่าเขาเป็นคนโหดร้ายที่ทำลายคนที่เธอรัก และมองเห็นพระเอกที่พยายามถามตัวเองเป็นร้อยครั้งว่าทำไมถึงเป็นผู้หญิงคน นี้ ผู้หญิงที่เขาแน่ใจว่ารักผู้ชายคนอื่น (แม้ว่าเขาจะตายไปแล้ว)

เรื่องนี้เป็นเล่มแรกในชุด (อย่างน้อยสามเล่ม) และเหมือนทุกครั้งคนแต่งก็เก่งพอจะทำให้เรารู้สึกอยากอ่านเล่มถัดไปในชุด แม้ว่าเรื่องของเอเลียตน้องชายของเฮย์เดนจะไม่ดูน่าสนใจ แต่สำหรับคริสเตียนพี่ชายคนโต คนที่หายไปโดยไร้ร่องรอยเป็นเวลาเกือบสองปี (และทำให้ในระหว่างนั้นเฮย์เดนต้องเข้ามาจัดการด้านการเงินของตระกูล) และกลับมาโดยที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นคนที่เราสนใจมากที่สุด

และถ้าไม่เป็นการโอ้อวดเกินไป เราก็ขอทายเอาไว้เลย ณ วันนี้ว่า นางเอกของคริสเตียนคงจะเป็นโรส ญาติของอเล็กเซีย คนที่เข้าใจผิดว่าเฮย์เดนเป็นผู้ทำลายครอบครัวของเธอ

บอกได้คำเดียวว่าอยากอ่านค่ะ

The Rules of Seduction // Madeline Hunter (Con'd)

วันนี้บลอกเกี่ยวกับเรื่อง The Rule of Seduction ของแมดเดลีน ฮันเตอร์เป็นครั้งที่สองของวันนี้แล้ว อาจเพราะว่าวันนี้งานไม่ค่อยมีให้ทำ ก็เลยฟุ้งซ่าน แต่ก็เป็นไปได้มากที่เราถูกใจหนังสือเรื่องนี้มากจนไม่อาจลืมเลือนออกไปจาก ใจได้โดยง่าย

ไม่น่าเชื่อว่าเราชอบหนังสือที่เรียบง่ายอย่างเช่นเล่มนี้ ไม่มีความพิศดารแปลงกาย พระเอกไม่ใช่ยอดมนุษย์ ไม่ใช่สายลับเก่งกล้า เขาไม่ใช่กระทั่งขุนนางมียศศักดิ์ ที่สำคัญเขาไม่ใช่พระเอกแบบที่เราชอบ ไม่ใช่ตัวร้ายกลับใจ หากแต่เป็นผู้ชายที่เราคิดว่าหาเจอได้ในชีวิตประจำวัน เขาไม่สมบูรณ์แบบ แต่เขาเป็นคนที่เราคิดอยากจะเป็น (ไม่ใช่อยากจะเป็นผู้ชายนะ แต่เราอยากเป็นคนที่มีข้อผิดพลาด แต่มีความดีพื้นฐานทำให้รู้ว่าการกระทำของตัวเองผิด และคิดหาทางแก้ไข ทั้งยังมีเกียรติมากพอที่จะรักษาคำพูดของตัวเองเอาไว้)

อะไรที่ทำให้เราชอบหนังสือเรื่องนี้เหลือเกิน ส่วนหนึ่งอาจเพราะอ่านหนังสือไม่สนุกมาหลายเล่มก็ได้ แต่สาเหตุหลักใหญ่อาจเป็นเพราะเจ้าความเรียบง่ายนี่เอง ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเรื่องนี้มีเสน่ห์อย่างมาก

หนังสือเปิดเรื่องอย่างหนังสือโรแมนซ์ยุคโบราณทั่วไป (แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ยุครีเจนซี่นะคะ เราคิดว่าน่าจะเป็นช่วงยุควิคตอเรียมากกว่า) ท่ามกลางฉากหลังเป็นเรื่องราวที่เกิดอาการพานิคกันทั่วเกาะอังกฤษทำให้หลาย ธนาคารล้มละลาย (เห็นไหมเราบอกแล้วว่าเรื่องไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น) เฮย์เดน รอธเวลปรากฎกายขึ้นในชีวิตของอเล็กเซีย เวลบอร์น

หนังสือเรื่องนี้พระเอกไม่ได้ตกหลุมรักนางเอกเพียงชั่วแรกเห็น (แล้วก็จัดการลากมาทำเป็นเมียเก็บเหมือนหนังสือดังบางเรื่อง) เขาช่วยเหลือนางเอกเพราะความรู้สึกผิด (บอกแล้วว่าเขาเป็นคนดีมาก) ที่ตัวเองทำลายชีวิตนางเอก และอย่างไม่รู้ตัวเขาก็ค่อยตกหลุมรักเธอ

การดูเฮย์เดนตกหลุมรักนางเอกไม่สนุกเท่ากับการดูอเล็กเซียตกหลุมรักเขา เพราะทั้งเรื่องเธอเชื่อว่าเขาเป็นคนเลว แต่นั่นไม่อาจหยุดความรู้สึกของเธอได้

ฉากหนึ่งที่พระเอกแอบติดตามนางเอกจากลอนดอนมายังบริสโทลแล้วมารอนางเอกอยู่ ที่โรงแรม เมื่อเขาแอบมองปฏิกริยาของนางเอกเมื่อทราบข่าวจากคนรับใช้ว่าพระเอกมารอเธอ อยู่เป็นฉากที่เราชอบมากที่สุดฉากหนึ่งในเรื่อง เมื่อเขามองเห็นอาการของนางเอกที่นิ่งเฉยไม่ยินดียินร้าย นี่คือความคิดของเขา

"It took him amoment to conqure the hallow reaction that opened inside him. He had not expected her to be pleased by his pursuit, although a small, romantic fantasy had emerged in which she expressed so much delight in his arrival that she could not find the heart to scold. He knew better than to anticipate a joyful reunion, however, and knew a good row was the more likely result when he found her that would have been preferable to what he had just seen . He did not like the visible evidence of just how indifferent she truly was."

แปลว่า (โปรดกรุณาให้อภัย เราไม่ใช่นักแปลค่ะ) "เขาต้องใช้เวลาสักใหญ่กว่าที่จะเอาชนะความรู้สึกว่างเปล่าภายในกายเขาได้ เขาไม่ได้ถึงกับคาดว่าเธอจะดีใจที่เห็นเขาติดตามเธอมา แม้ว่าความเพ้อฝันเล็กน้อยของเขาจะหวังให้เธอแสดงความรู้สึกยินดีกับการมา ของเขามากพอที่จะไม่ต่อว่า แต่เขารู้ดีเกินกว่าจะคาดหวังการพบกันที่เต็มไปด้วยความสุข อย่างไรก็ตามเขาก็ยังพอใจกับการโต้เถียงกันเล็กน้อยมากกว่าการที่เธอแสดงให้ เห็นอย่างชัดเจนว่าเธอไม่มีความรู้สึกใดต่อเขาสักนิดเดียว"

ชอบค่ะ ผู้ชายใจน้อย

อดทนหน่อยแล้วกันค่ะ ตอนนี้กำลังบ้าเรื่องนี้ ไม่รับประกันว่าจะมี The Return of the Rule of Seduction Part III หรือไม่นะคะ

The Spy who Wants Me // Lucy Monroe

ช่วงนี้แม็กซ์อามรณ์กำลังสูงมาก ๆ กับเรื่อง Crash into me ที่เราเขียนรีวิวไปแล้วเมื่อหลายบลอกก่อน เชื่อไหมคะว่าเป็นหนังสือที่ชอบมากขนาดโทรศัพท์ไปเที่ยวบอกเพื่อนทีละคนว่า มันสนุกขนาดไหน เผื่อว่ายอดขายของเขาจะได้ดีขึ้นไป ๆ แล้วยังเป็นเล่มที่ทำให้แม็กซ์ออกอาการแฟนเกิร์ลอย่างรุนแรง ด้วยการอีเมลล์ไปหาคนแต่ง บรรยายว่าตัวเองชอบงานของเขามากโคตร ๆ (และสำหรับคนที่อยากรู้ จิลตอบมาว่า เธออาจจะเขียนเรื่องของสตีเฟ่นในอีกสองหรือสามปีข้างหน้า)

ด้วยอารมณ์อย่างนี้ แม็กซ์รู้ดีว่าคงจะอ่านเรื่องอะไรที่ตามมาไม่ค่อยสนุกแน่ เราเลยไม่อยากเล่มที่เราคิดว่าจะสนุกมาก ๆ มาอ่านค่ะ มันก็เลยเป็นคิวของหนังสือเล่มนี้ ที่แม็กซ์ซื้อมาดองไว้ได้เกือบสองเดือนพอดี

The Spy who wants me ของลูซี่ มอนโรว์

ลูซี่ มอนโรว์เป็นชื่อนักเขียนขวัญใจแฟนละครน้ำเลี้ยงยุงลายในเมืองไทยหลายคน แต่พูดอย่างนี้ก็ไม่ใช่แม็กซ์ไม่อ่านงานที่เธอเขียนให้กับฮาร์ลิควิน เพรสเซ่นหรอกนะคะ เราก็อ่าน แต่ต้องเป็นจังหวะที่อารมณ์ให้กับแนวนั้นมาก ๆ (ซึ่งไม่เกิดอาการอย่างนั้นมาหลายเดือนแล้วค่ะ) แต่เล่มนี้คงไม่เหมาะกับแฟนหนังสือแนวฮาร์ลิควิน เพรสเซ่นหรอกนะคะ เพราะอย่างน้อยนางเอกของเราก็ไม่ได้ผุดผ่องเป็นยองใย

หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่สามในชุดที่ชื่อว่า The Goddard Project ซึ่งเป็นชื่อเรียกองค์กรสุดลับของรัฐบาลอเมริกัน ลึกลับขนาดบอกว่า ประธานธิบดีหลายคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีองค์กรนี้อยู่ด้วย องค์กรนี้ตั้งตามชื่อโรเบิร์ต ก็อดดาร์ด นักวิทยาศาสตร์อเมริกันที่คิดค้นพัฒนาเทคโนโลยีอันนึงขึ้นมา แต่ไม่มีใครให้ความสนใจ จนกระทั่งโดนขโมยไป แล้วถูกคนที่ขโมยนำไปพัฒนาต่อจนกลายเป็นอาวุธที่มาทำร้ายทหารอเมริกันใน สงครามโลก ทำให้รัฐบาลตัดสินใจว่า จะให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นอีกไม่ได้แล้ว จึงตั้งองค์กรนี้ขึ้น เพื่อให้พิทักษ์และปกป้องเทคโนโลยีของชาวอเมริกัน

แต่หนังสือชุดนี้ว่าไปแล้วก็ยังไปต่อเนื่อง กับชุด Mercenary (ที่มี Ready, Willing, And Able ในชุดนั่นแหละ) อีกด้วย ดังนั้นตัวละครในสองชุดนี้จึงเดินตัดกันไปตัดกันมาสนุกมาก

เอลล์ เกรย์เป็นสายลับมือดีที่ได้รับมอบหมายให้เข้าไปสืบเรื่องความลับที่รั่วไหล ออกจากสถาบันวิจัยแห่งหนึ่ง (สายลับของ TGP สืบรู้เรื่องนี้จากเรื่อง Deal with this ซึ่งเป็นเล่มสองในชุด) และเอลล์ถูกส่งมาเพื่อให้ค้นหาว่า ยังมีคนทรยศหลงเหลืออยู่ในสถาบันนั้นอีกหรือไม่

การมาของเธอไม่เป็นที่ต้องการของบรรดานักวิทยาศาสตร์ในสถาบันเท่าำไหรนัก พวกเขาไม่เชื่อว่าจะมีใครในหมู่พวกเขาเป็นคนทรยศ แต่เมื่อเอลล์ปรากฎตัวขึ้น เธอก็ทำให้โบ รัสตันถึงกับตกตะลึงได้ เพราะเธอสวยและมีเสน่ห์กว่าที่คาด ด้วยหน้าตาสง่างามอย่างชาวรัสเซีย (แต่เอลล์เป็นชาวยูเครน) การแต่งตัวที่ราวกับหลุดออกมาจากแคตาล็อคของหนังสือแฟชั่น แล้วยังความสามารถในศิลปะป้องกันตัวที่เก่งกาจอีกแหละ

เอลล์เป็นผู้หญิงชนิดที่นักวิทยาศาสตร์อย่างโบไม่เคยเจอ

และเช่นกัน โบก็ไม่เหมือนนักวิทยาศาสตร์ดีกรีปริญญาเอกคนไหนที่เธอเจอ เขาเ็ป็นอดีตนักฟุตบอลฝีมือดี คนที่ถ้าเขาต้องการก็สามารถเข้าไปเล่นในลีกเอ็นเอฟเอลได้ แต่โบเลือกที่จะเรียนหนังสือต่อ และกลายเ็ป็นนักวิจัยค่าตัวแพง สติปัญญาของเขาอยู่ในระดับต้น ๆ ของประเทศ และสิ่งที่เขาค้นคิดก็กำลังเป็นที่ต้องการของผู้ก่อการร้ายทั่วโลก

เอลล์แฝงกายเข้าไปในสถาบันวิจัยแห่งนั้นด้วยการบอกว่าตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญ ทางด้านการรักษาความปลอดภัย ในขณะที่มีเพียงโบและเจ้านายของเขาเท่านั้นที่รู้ความจริงว่าเธอเป็นใคร แต่เมื่อไปถึงเอลล์ก็ต้องตกใจอย่างแรง เมื่อพบว่าพี่ชายของเธอก็ทำงานให้กับสถาบันแห่งเช่นกัน

หนังสือเรื่องนี้เริ่มต้นได้น่าอ่านมากค่ะ แม็กซ์พบว่าตัวเองสนใจในบุคลิคของเอลล์อย่างมาก เธอมีส่วนที่คล้ายกับเอลล์อีกคนที่เรารู้จัก (เอลล์ วู้ดจาก Legally Blond) เอลล์เป็นสายลับที่ไม่รู้สึกว่า งานที่ทำจะต้องหมายความว่า เธอจะต้องแต่งกายในชุดสีดำ หรือลายพรางทหาร เธอแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพง ทำเล็บจากร้านฝีมือดี ในขณะเดียวกันก็ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธปืน และศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว ในตอนแรกแม็กซ์ชอบบุคลิกของเอลล์มากค่ะ เพราะแม้ว่ามันจะไม่เป็นจริงในวงการสายลับ (ผู้หญิงที่สวยขนาดเอลล์ไม่น่าจะเป็นสายลับที่ดีได้ เพราะเธอโดดเด่นเกินไป) มันก็สนุกที่ได้อ่าน

และเช่นเดียวกัน โบก็เป็นตัวละครที่น่าสนใจ แม็กซ์ชอบที่คนแต่งไม่ได้ทำให้เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์แว่นหนาเตอะ เขามีหุ่นอย่างนักฟุตบอล (ตำแหน่งปีกนะคะ ไม่ใช่ออฟเฟนซีพ ไลน์ นั่นมันน่ากลัวเกินไป) แต่มีสมองขั้นเทพ เขาเลือกที่จะใช้ชีวิตกับงานวิจัย แทนที่จะเป็นแสงสีของไฟสเตเดี้ยม เพราะเขาเชื่อในมันสมองของตัวเอง

ในส่วนของคาแร็คเตอร์แล้ว เอลล์และโบไปด้วยกันได้อย่างดีมาก ปัญหาก็คือ เมื่อทั้งสองมาพบกัน แม็กซ์ไม่รู้สึกถึงประกายไฟที่ทั้งคู่มีให้กันเลยน่ะสิ

แน่ล่ะในเนื้อเรื่อง ทั้งสองถูกใจกันและกันเกือบในทันที แม็กซ์บอกไม่ถูกเหมือนกันนะคะ แต่มันราวกับว่า เมื่อโบและเอลล์อยู่ด้วยกัน เสน่ห์ที่ทั้งคู่เคยมี มันเลือนหายไปหมดไป พวกเขาไม่ใช่ตัวละครที่เราชอบอีกต่อไป ไม่ถึงกับทำให้เราเบื่อหน่ายอะไรนะคะ แต่มันไม่มีเสน่ห์อีกต่อไปแล้ว

ในส่วนของพล็อตก็เช่นกัน หนังสือเรื่องนี้เป็นเรื่องที่นางเอกเป็นสายลับในองค์กรระดับชาติที่มีความ สำคัญมาก แต่สิ่งที่แม็กซ์เห็นก็คือ เอลล์ไม่เห็นจะทำอะไรที่เป็นการสืบความลับเลยสักนิดเดียว เบาะแสที่เธอได้เกี่ยวกับกลุ่มคนที่ต้องการจารกรรมข้อมูลจากสถาบันวิจัย ก็มาจากตัวละครอีกตัวที่เปิดเผยตัวเอง ไม่ใช่มาจากการสืบความลับของเอลล์สักนิด ความง่ายของคดีทำให้เราไม่รู้สึกถึงความสามารถของเอลล์ มันแทบจะไม่มีฉากที่เอลล์ได้โชว์ความเป็น "สายลับ" ของเธอสักนิด และนั่นทำให้เรารู้สึกว่าเธอเป็นเพียง นังบลอนด์หน้าโง่คนนึง ซึ่งมันไม่ยุติธรรมเลย เพราะเอลล์ก็ไม่ได้โง่

ข้อผิดพลาดในการเขียนเรื่องนี้ก็คือ การเอาพล็อตสายลับมาปะปนกับเรื่องครอบครัว เพราะคนแต่งแบ่งแยกทั้งสองประเด็นไม่ได้เรื่องเลย มันทำให้เสียไปทั้งสองส่วน เอลล์ซึ่งมาปฏิบัติงานกลับใช้เวลาเกือบทั้งเรื่องไปกับการคิดเรื่องส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นการที่เธอปลีกหนีไปจากครอบครัวเป็นเวลาหลายปี ภายหลังการตายของสามี และใช้เวลาไปกับอาการปิ๊งกันกับโบ มันทำให้เอลล์ดูเป็นสายลับที่ห่วยแตก และทำให้พล็อตการสอบสวนด้อยลง

บางทีเราก็เป็นคนเอาใจยากค่ะ เพราะมีหนังสือบางเล่มเหมือนกันที่พล็อตสืบสวนด้อยลงไปแล้ว เราก็ยังคิดว่าเป็นหนังสือที่ดีอยู่ แต่กับเล่มนี้ เรารู้สึกว่า นางเอกไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองเต็มที่เลย เหมือนกับใช้เวลาทำงานมาหาสามีน่ะ

น่าเสียดายค่ะ เพราะแม็กซ์คิดว่า เล่มนี้มีองค์ประกอบหลายอย่างที่น่าจะทำให้เราชอบเล่มนี้ได้ แต่สุดท้ายก็ไปไม่ถึงดวงดาว

คะแนนที่ 57

ไม่สวาทได้ไหม

ในมุมมองของคนที่อ่านหนังสือโรแมนซ์ เราเชื่อว่าเืกือบทุกคนน่าจะเห็นด้วยกับเรานะคะว่า โรแมนซ์เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก โรแมนซ์อาจจะมีพล็อตหลากหลายเป็นร้อย แต่สุดท้ายแล้วโฟกัสของเรื่องก็ยังคงอยู่ที่พระเอกนางเอก และตอนจบอย่างสมหวังของพวกเขา

แต่พวกเราสังเกตอะไรบ้างไหม

ทำไมชื่อเรื่องของหนังสือโรแมนซ์ถึงเต็มไปด้วยคำว่า "สวาท" ดูเหมือนว่านิยายแปลโรแมนซ์ของบ้านเรา จะติดใจคำว่า สวาทในชื่อเรื่องอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าทุกการกระทำของตัวละครจะมุ่งเน้นไปที่... สวาท ไม่ว่าจะเป็น

การทวงเงิน --- หนี้สวาทอสรู, หนี้แค้นสวาท, หนี้สวาทมิอาจเลือน

การเล่นดนตรี --- เพลงชีวิตชะตาสวาท

การท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่าง ๆ --- เกาะสวาทแดนสวรรค์, เพลิงสวาททะเลทราย, วนาสวาท

การจัดการเกี่ยวกับมรดก --- พยศสาวพินัยกรรมสวาท

งานอดิเรก --- กลสวาทเกมเสน่หา

ทำศึกกับศัตรู --- สงครามสวาท, จำเลยสวาท, เชลยสวาท, เชลยรักกัปตันสาว, ยอดสวาทอัศวิน

พยากรณ์อากาศ --- พายุสวาท,

การตกแต่งบ้าน --- ม่านรักเพลิงสวาท

ไสยศาสตร์ --- ไฟสวาทพ่อมดหนุ่ม, พลังจิตสื่อสวาท, ไฟสวาทซาตาน, ชะตาสวาทไนติงเกล

ทมยันตี --- มนตร์สวาททวิภพ

ปราบปรามอาชญากร --- นางโจรสาวยวนสวาท

การฌาปนกิจ --- เถ้าสวาท

การวางกับดัก --- บ่วงสวาทแค้นจอมสลัด, ใยสวาทนักล่าแวมไพร์สาว

และที่แม็กซ์ชอบที่สุด --- รสสวาทสาวสองหน้า

ราวกับว่า เวลาจะตั้งชื่อเรื่องก็ดูสักนิดนึงว่าเรื่องมันเกี่ยวกับอะไร ถ้ามีพระเอกเป็นแวมไพร์ ก็ตั้งไปเลยว่า แวมไพร์สวาท พอเล่มสองพระเอกเป็นแนวแวมไพร์ก็เติมสักนิดนึงว่า มนตร์สวาทแวมไพร์ พอเล่มสามพระเอกก็เป็นแวมไพร์อีก สนพ.ยังไม่จนมุมค่ะ ตั้งชื่อไปเลยว่า สวาทรักแวมไพร์เสน่หา พอเล่มสี่มา... (คงไม่ต้องเขียนต่อนะคะ น่าจะเดากันต่อ หรือตั้งชื่อกันเองได้แล้วล่ะป

แม็กซ์ถามตรง ๆ เลยนะคะ คุณรู้สึกอายไหมถ้าเดินเข้าไปในร้านหนังสือที่แคชเชียร์เป็นเด็กผู้ชายหน้า ตาออกแนวหื่นหน่อย ๆ คุณกล้าที่จะหยิบหนังสือเรื่องสวาทไปจ่ายเงินไหม

แต่ทำไมมันถึงได้ฮิตนักฮิตหนาในการตั้งชื่อเรื่องหนังสือโรแมนซ์

ส่วนหนึ่งคงเพราะในอดีต ชื่อเรื่องฉบับหนังสือภาษาอังกฤษ ก็ออกแนวสวาท ๆ แบบนี้แหละ ลองไปดูนะคะ เกือบทุกเรื่องจะมีคำว่า Passion, Ecstasy, Pleasure เต็มไปหมด แม็กซ์เชื่อว่าในอดีตสนพ.ในเมืองไทยก็คงอิงชื่อเรื่องมาจากคำพวกนี้แหละ แต่กระนั้นเดี๋ยวนี้แม้จะยังมีชื่อเรื่องพวกนี้อยู่นะคะในตลาดหนังสือภาษา อังกฤษ มันก็ไม่ได้แพร่หลายอย่างเดิมแล้ว แต่ดูเหมือนทางเมืองไทยจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ทำไมคำว่าสวาทถึงต้องเป็นตัวแทนของโรแมนซ์ ทั้งที่ความจริงแล้ว โรแมนซ์ไม่ใช่เรื่องเซ็กส์ (เป็นหลัก) แน่ล่ะ คำว่ารักก็ถูกใช้มากไม่แพ้กันในชื่อนิยายโรแมนซ์ แต่แม็กซ์ไม่หยิบมาวิจารณ์เพราะเราว่ามันก็เหมาะดีแล้ว เราเกิดอาการเบื่อหน่ายคำว่าสวาทค่ะ

เพราะก็น่าจะรู้กันดีอยู่ว่า คนอ่านโรแมนซ์ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง และกับผู้หญิงส่วนใหญ่ เราไม่สัมพันธ์คำว่ารักกับสวาทนะคะ

Friday, February 13, 2009

Crash Into Me // Jill Sorenson

จิล ซอเรนสันเ็ป็นนักเขียนนหน้าใหม่พอสมควร เรื่อง Crash into me อาจจะไม่ใช่หนังสือเล่มแรกที่เธอเขียนนะคะ แต่ก็เป็นเล่มที่สอง แถมเล่มแรกก็เป็นเพียงหนังสือเล่มเล็กที่ออกขายกับซิลลูเอ็ต โรแมนติค ซัสเพนซ์

แม็กซ์ตัดสินใจซื้อหนังสือเรื่องนี้ เพราะเพื่อนคนนึงของเราได้เจอกับจิลในงาน RWA แล้วพูดถึงเธอในแง่ดีมาก ๆ ด้วยนิสัยที่ชอบทดลองงานของนักเขียนหน้าใหม่ แม็กซ์จึงไม่ลังเลที่จะซื้อหนังสือสองเล่มแรกของเธอมาทดลองอ่าน (แต่เรายังอ่านเรื่อง Dangerous to Touch ซึ่งเป็นหนังสือเล่มของเธอเลยล่ะ)

บอกตามตรงนะคะว่าเราไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายกับหนังสือเล่มนี้ อาจะเป็นเพราะหน้าปกที่ดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนเรื่องแนวโรแมนซ์ยุค ปัจจุบันทั่ว ๆ ไป กะชื่อเรื่องทีออกแนวนั้นพอควร

ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นความสนุกที่แม็กซ์ไม่คาดหวังจริง ๆ

Crash Into Me ของจิล ซอเรนสัน

นานมากแล้วนะคะที่มีหนังสือที่ทำให้แม็กซ์แปลกใจได้อย่างนี้นะคะ เราหยิบเล่มนี้มาอ่านโดยไม่คาดหวังอะไรเลย แต่สิ่งที่เราได้จากเล่มนี้มันเต็มอิ่มค่ะ

คงไม่ต้องบอกนะคะว่าชอบเรื่องนี้แค่ไหน

ซันนี่ วาสเควสเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอที่ถูกส่งให้ปลอมตัวเข้าไปตีสนิทกับเบน ฟอร์ชุน ซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง มันค่อนข้างแปลกพอสมควรที่เอฟบีไอสงสัยเบนเป็นคนร้าย เพราะเขาเป็นหนุ่มผู้ประสบความสำเร็จแห่งคาลิฟอร์เนีย เบนเป็นนักเล่นเซิร์ฟที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ประกอบกับรูปร่างหน้าตาที่แสนจะหล่อเหลา เขาเป็นตัวแทนของความสำเร็จแบบอเมริกัน เป็นหน้าตาให้กับสินค้าที่ใช้เขาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เป็นชายหนุ่มที่มีชื่อเสียง (อาจจะเสียก็ได้) เรื่องผู้หญิง

โศกนาำฎกรรมที่เกิดขึ้นกับภรรยาของเขา ผู้หญิงที่เขาทำให้ตั้งท้องตั้งแต่ตอนที่ตัวเองอายุเพียงสิบเจ็ดปี ผู้หญิงที่เขาปล่อยให้รอคอยนานหลายปี ก่อนที่จะยอมแต่งงานกับเธอ ผู้หญิงที่เอฟบีไอสงสัยว่าเป็นเหยื่อรายแรกของฆาตกรต่อเนื่อง คดีเดียวกับโอลิเวีย ฟอร์ชุนโดนปิดเมื่อตำรวจจับคนร้ายได้พร้อมกับอาวุธ แต่คนร้ายคนนั้นได้ฆ่าตัวตายพร้อมทิ้งจดหมายลาตายที่ปฏิเสธความรับผิดชอบที่ มีต่อการตายของโอลิเวีย และนั่นทำให้เจ้านายของซันนี่เริ่มสงสัยว่าเบน อาจจะมีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการฆาตกรรมนั้นก็ได้ เพราะก่อนหน้าที่จะจับคนร้ายได้ เบนเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง

แต่ชีวิตของซันนี่ ที่ตอนนี้ใช้นามว่าซัมเมอร์ และปลอมตัวมาเป็นหนึ่งในสมาชิกของชุมชนที่เบนและคาร์ลี่ ลูกสาวพักอาศัยอยู่ ไม่น่าจะมาบรรจบกันได้ เบนซึ่งบัดนี้เป็นชายเก็บตัว ที่ไม่สนใจผู้หญิงเหมือนในวัยหนุ่มอีกต่อไป เขาเล่นเซิร์ฟ และดูแลลูกสาวที่กำลังเจ็บปวดอยู่ไม่น้อยกับการจากไปของมารดา เบนไม่มีสายตาให้กับผู้หญิงคนไหน จนกระทั่งซันนี่ช่วยชีวิตคาร์ลี่จากคลื่นยักษ์ หลังจากเธอเล่นแผลง ๆ ด้วยการกระโดดลงไปในทะเลเพื่อเล่นคลื่น

นั่นทำให้ซันนี่และเบนมาพบกัน และเป็นการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้สำหรับทั้งสองคน เพราะเบนซึ่งเจ็บปวดจากการสูญเสียโอลิเวียไป พบว่าตัวเองไม่อาจเดินจากซันนี่ไปได้ เธอมีบางอย่างที่ดึงดูดเขาเอาไว้ หญิงสาวที่ปฏิเสธโอกาสที่ทั้งคู่จะมีอะไรต่อกันมากกว่าความเป็นเพื่อน ในขณะเดียวกันซันนี่รู้ดีว่า การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้ต้องสงสัยเป็นการทำลายอาชีพที่ดีที่สุด เธอไม่มีใครเหลือแล้วในชีวิต นอกจากการเป็นเอฟบีไอ แต่ก็เหมือนแมงเม่าที่ไม่อาจหลีกหนีเปลวไฟ ซันนี่ก็ไม่อาจต้านทานเบนได้

ในขณะที่ซันนี่พยายามสืบความเป็นไปของครอบครัวฟอร์ชุน ในขณะเดียวกับที่พยายามเอาชนะความรู้สึกของตัวเอง เรื่องก็ยังโฟกัสไปที่คาร์ลี่ เด็กสาววัยสิบหกปีที่เหมือนเด็กอเมริกันทั่วไป เริ่มมีปัญหากับพ่อของเธอเอง มันเป็นความรู้สึกที่คาร์ลี่ไม่อาจอธิบายได้ แต่บางอย่างในตัวเธอทำให้เธอต้องดื้อรั้นและหาเรื่องใส่ตัว และนั่นนำเธอไปพบกับจอห์น แม็ธทิว เด็กชายวัยสิบเจ็ดปีที่มีปัญหาในครอบครัวไม่แพ้กับเธอ

ปกติแม็กซ์จะไม่ชอบหนังสือที่แบ่งเวลาในเรื่องไปให้กับตัวละครอื่นที่ไม่ ใช่ตัวเอกนะคะ เพราะรู้สึกเสมอว่า มันทำให้เรื่องด้อยความน่าสนใจไปเลย ถ้าคู่รองเด่นกว่าคู่เอก เรื่องมันอาจจะสนุกได้ แต่มันก็แสดงความไร้ความสามารถของคนแต่งเช่นกัน ในเรื่องนี้เราอาจจะบอกได้ว่ามีสองคู่ เบนและซันนี่เป็นคู่หลัก ในขณะที่ความรักระหว่างคาร์ลี่และจอห์นเป็นคู่รอง ซึ่งบอกเลยนะคะว่า ไม่มีการขโมยซีน ไม่ใช่เพราะคาร์ลี่และจอห์นไม่น่าสนใจ พวกเขาเป็นตัวละครที่น่าสนใจมาก และดึงดูดความสนใจจากแม็กซ์ได้อย่างเต็มที่ แต่ทั้งสองก็ไม่ได้ทำให้ความน่าสนใจระหว่างเบนและซันนี้ลดลงไปเลย

คาร์ลี่เป็นตัวอย่างของเด็กอเมริกันน่ารำคาญ (เราคิดแบบนี้เสมอกับเด็กอเมริกันช่วงไฮสคูล) แต่คนแต่งก็ทำให้เราเข้าใจเธอได้ เข้าใจและรักเธอมาก ๆ คาร์ลี่เป็นตัวละครที่มีชีวิต และทำตัวสมอายุ ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ทำให้เธอดูงี่เง่า หรือปัญญาอ่อน คาร์ลี่เป็นเด็กที่เอาแต่ใจ แต่ในขณะเดียวกันเธอก็รักพ่อของเธอมาก และเช่นเดียวกัน จอห์น แม็ธทิว เด็กชายที่เติบโตขึ้นมากับพ่อที่ใช้กำลัง เขามีบาดแผลทั้งภายในและภายนอก เขาเป็นตัวละครที่น่าสนใจมาก ๆ เพราะไม่ได้เป็นแค่เด็กชายที่กบฎและทำตัวเรียกร้องความสนใจ แบบอย่างเจมส์ ดีน แต่จอห์นมีความลึกที่เราคาดไม่ถึง และนั่นรวมทั้งทัศนคติที่เขามีต่อเซ็กส์

ปกติแม็กซ์จะรู้สึกอึ๋ยกับฉากเซ็กส์ของตัวละครอายุน้อย ๆ นะคะ แต่เรื่องนี้ทำได้ดี เพราะในระดับนึง เรารู้สึกถึงความต่อเชื่อมระหว่างคาร์ลี่และจอห์นที่มันทำให้เราเชื่อว่า สองคนนี้จะอยู่ด้วยกันไปอีกนานแสนนาน และไม่ใช่แต่ความรักวัยรุ่น

กลับมาที่คู่หลัก เบนอาจจะยังคงรักโอลิเวีย แต่เขาก็เป็นผู้ชายพอที่จะยอมรับว่า ตัวเองกำลังถลำลึกลงเรื่อย ๆ กับซันนี่ แม้กระทั่งเมื่อความจริงเิปิดเผยออกว่า ทั้งหมดแล้วซันนี่ทรยศเขา เบนก็ยังไม่อาจเดินจากเธอไปได้ แน่ละคำว่ารักไม่ได้ออกจากปากของเขา จนเกือบจะหน้าสุดท้าย แต่แม็กซ์ไม่สงสัยในความจริงใจของเขาเลยนะคะ

ที่สำคัญคาแร็คเตอร์ของเบนน่าสนใจ เขาเป็นพระเอกที่เราไม่ได้เจอนัก ภายนอกเบนเป็นทุกอย่างที่พระเอกโรแมนซ์เป็นกัน ทั้งหล่อ รวย และเท่ห์ แถมยังมีเสน่ห์ดึงดูดใจสาวทั่วเมือง สิ่งที่ทำให้เบนแตกต่างก็คือ เขาใช้ชีวิตมาอย่างเต็มที่ เขาเดินจากผู้หญิงที่เขารัก เพื่อความสนุกสนาน เพื่อเหล้า และยาเสพติด และเพื่อผู้หญิงอื่น สุดท้ายแล้วเบนเดินกลับมาหาโอลิเวียอีกครั้ง และเขาเป็นสามีที่ดี ก่อนที่ความโหดร้ายจะพรากโอลิเวียไป เบนไม่เคยกลับไปเป็นหนุ่มใช้ชีวิตอิสระคนเดิม แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่ได้ทนทุกข์ ไม่ใช่ว่าไม่เศร้าหรอกนะ แต่เบนไม่ใช่พระเอกแนวที่ต้องประกาศให้โลกทั้งใบรู้ว่า "กูเศร้า"

ความรักที่เขามีให้คาร์ลี่ ยิ่งทำให้แม็กซ์ยิ่งรักเขา และความจริงใจที่มีต่อซันนี่ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ดึงดูดเราให้อ่านเล่มนี้ ชนิดที่ไม่อยากให้มันจบลง หนังสือเล่มนี้หนาสี่ร้อยกว่าหน้านะคะ และทุกหน้าเป็นความสนุกที่เราไม่อยากให้มันจบลง

คำชมมีเยอะนะคะ ส่วนดี ๆ ในเรื่องก็มีเยอะ และมันอาจจะมากพอที่ทำให้เรามองข้ามข้อเสียในเรื่องไปได้ เพราะหนังสือเล่มนี้ยังห่างไกลจากคำว่าสมบูรณ์แบบ มันมีความบังเอิญมากเกินไป โดยเฉพาะ (สปอยล์) การที่สุดท้ายแล้วจอห์นเป็นน้องชายคนละแม่กับซันนี่ มัน ทำให้ยากที่จะเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ มันมีหลายอย่างเลยล่ะในเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ประมาณว่าคนพวกนี้ไม่น่าจะมาบังเอิญเจอกัน แต่อย่างที่บอกนะคะ ส่วนที่ดีในเรื่องทำให้แม็กซ์ลืมข้อเสียทั้งหมดนั่นไปได้เลย

ในส่วนของการสืบสวนคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง ไม่ค่อยมีเบาะแสอะไรทิ้งไว้ให้คนอ่านคาดเดาคนร้ายหรอกค่ะ แต่ถ้าคนอ่านความจำดี ๆ และตาเร็ว ก็น่าจะรู้ตัวคนร้ายได้เกือบจะในทันทีที่เจอคำใบ้ที่คนแต่งทิ้งเอาไว้ ประเด็นเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องหลักของพล็อต แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้หนังสือเล่มนี้เคลื่อนไปได้ เป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้น แม็กซ์โอเคกับมันค่ะ

และสุดท้ายแล้ว ฉากที่เราชอบมาก (สปอยล์) คง เป็นฉากที่ซันนี่โดนคนร้ายจับตัวไปอยู่บนเรือ และเบนต้องเลือกที่จะช่วยชีวิตลูกสาวของเขาซึ่งตกลงไปในน้ำ แทนที่จะขึ้นไปบนเรือเพื่อช่วยผู้หญิงที่เขารัก สำหรับแม็กซ์แล้วมันได้ใจเรามาก เพราะมันเป็นทางเลือกที่เราอยากให้คนที่เป็นพระเอกเลือก และที่มากกว่านั้นมันทำให้เราคิดว่าสตีเฟ่น (ซึ่งเป็นคนที่ไปช่วยซันนี่แทน ทั้งที่ไม่รู้จักเธอด้วยซ้ำ) เป็นตัวละครที่เราอยากรู้เรื่องของเขาต่อ

จะบอกยังไงดีคะว่า แม็กซ์รักหนังสือเล่มนี้ แม็กซ์รักตัวละครทุกตัวที่ออกมามีบทบาทในเล่ม (โอเค อาจจะยกเว้นตัวร้าย) เพราะทุกคนมีพัฒนาการและความน่าสนใจในตัวเอง หนังสือที่เราเคยคิดว่าอาจจะหนาเกินไป แต่เมื่ออ่านเรากลับไม่อยากให้มันจบ

ทุกอย่างเป็นประสบการณ์ที่ไม่น่าลืมเลือน

คะแนนที่ 90

Dragon Series // Allyson James

แม็กซ์เริ่มต้นอ่านงานของอลิสัน เจมส์ตั้งแต่สมัยที่เธอเขียนให้กับสนพ.อีลอร่าส เคฟ ซึ่งเราค่อนข้างชอบงานของเธอพอสมควรเลยล่ะ (เรื่องฮ็อตได้ใจมาก) และเมื่อเรารู้ว่า เธอคือคนเดียวกับเจนนิเฟอร์ แอชลี่ย์ ก็ทำให้แม็กซ์เริ่มหันมาอ่านงานของเธอในนามปากกานั้นด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรเลยที่เราติดตามเธอไปยังสนพ.เบิร์คเลย์ เมืีอเธอเริ่มต้นเขียนหนังสือชุดแนวพารานอมอลเกี่ยวกับมังกร

โดยคอนเซ็ปต์แล้วดูน่าสนใจค่ะ แม็กซ์จำได้ว่าสมัยที่เธอเริ่มต้นเขียนเรื่อง Dragon Heat ยังไม่ค่อยมีนักเขียนคนไหนเอาเรื่องมังกรมาเล่นมากนัก (ซึ่งเมื่อเทียบกับตอนนี้เริ่มมีมังกรเพ่นพ่านมากขึ้น) เมื่อเราอ่านเล่มแรกจบลง เราคิดว่าเธอเริ่มต้นได้ดี เรื่องอาจจะไม่ถึงกับสนุกถูกใจเรามาก แต่ก็ดูมีอนาคตไม่น้อย และมันก็ถูกพิสูจน์เมื่อแม็กซ์อ่านเล่มที่สองในชุด เรื่อง The Black Dragon (เดี๋ยวจะเขียนรีวิวให้อ่านกันค่ะ) ที่เราคิดว่าเป็นเล่มที่ดีที่สุดในชุด แต่แล้วในเล่มสาม และเราคิดว่าอาจจะเป็นเล่มสุดท้ายในชุดนะคะ กลับเป็นเหมือนการเดินถอยหลังลงคลอง


The Black Dragon ของอลิสัน เจมส์

เหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้แม็กซ์ชอบเล่มนี้มากกว่าเล่มอื่นในชุดอาจเป็นเพราะ มัลคอล์ม พระเอกของเรื่องเป็นตัวละครที่เกือบจะเป็นตัวร้ายในเล่มแรกของชุด (Dragon Heat) ในฐานะของคนที่ชอบตัวร้ายมากอย่างเรา เล่มนี้จึงถูกหยิบมาอ่านทันทีที่ซื้อมา (แต่ไม่ได้เขียนรีวิวเท่านั้นเอง มาเขียนตอนนี้เพราะเราเพิ่งอ่านเล่มสามจบไป เลยถือโอกาสรวบยอดทีเดียวไปเลย) และก็ไม่ผิดหวังค่ะ เราคิดว่าเล่มนี้เป็นเล่มที่ให้ความหวังเรากับงานของอลิสันพอสมควรเลยล่ะ

มัลคอล์มเป็นมังกรสีดำที่ถูกคำสาปของแม่มดทำให้เขาติดอยู่ในโลกมนุษย์ เป็นเวลานานหลายร้อยปี สิ่งเดียวที่เขาถวิลหาก็คือการกลับบ้านในโลกแห่งมังกร (โลกแห่งมังกรเป็นเหมือนมิติคู่ขนานไปกับโลกของเรา ต้องให้แม่มดให้พลังในการเปิดประตูข้ามมิติ มังกรจึงจะข้ามกลับไปได้) ดังนั้นเมื่อเขาได้พบกับซาบะ สาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น และเป็นแม่มดฝึกหัด เขาก็เห็นโอกาสที่จะใช้เธอในการส่งเขากลับบ้าน มัลคอล์มครองงำซาบะและให้เธอเป็นผู้ช่วยในการต่อสู้กับคาเล็บ มังกรสีทอง ที่คุ้มกันลิซ่า ซิงเกิ้ลตัน ผู้พิทักษ์ประตูแห่งมิติอยู่ ทั้งหมดนี่เป็นเหตุการณ์ในเล่มแรกในชุดค่ะ

แน่ล่ะ ในเล่มนี้ มัลคอล์มซึ่งสงบศึกกับทั้งคาเล็บและลิซ่าแล้ว กำลังจะได้กลับบ้าน หลังจากใช้เวลาในโลกมนุษย์มาหลายร้อยปี มัลคอล์มกลับได้พบกับคนเพียงคนเดียวที่ทำให้เขาหวั่นไหว นั่นก็คือซาบะ เธอทำให้เขาคิดที่จะอยู่ต่อ แต่กระนั้นมัลคอล์มก็ข้ามประตูกลับไปในโลกแห่งมังกร แต่ก็ไม่ก่อนที่จะทิ้งสัญลักษณ์แทนกาย ที่ซาบะสามารถใช้เรียกตัวเขาให้กับมายังโลกมนุษย์ได้ทุกเมื่อ

ซาบะไม่ต้องการจะใช้มัน เธออาจใช้เวลากับมัลคอล์มโดยที่จิตใจของเธอถูกครอบงำ แต่ก็มีบางส่วนที่เธอรู้ดีกว่า เขาเป็นมากกว่านั้น มันไม่ใช่ความสัมพันธ์ของเจ้านายและลูกน้องธรรมดา ซาบะรู้ว่า ตัวเองไม่อาจรั้งมัลคอล์มไว้ในโลกมนุษย์ได้นาน และไม่ต้องการเอาหัวใจเข้าไปเสี่ยง

แต่เธอก็ไม่มีทางเลือก เมื่อพบว่าตัวเองกลายเป็นเป้าหมายของมังกรขาว ที่ต้องการพลังแม่มดในกายเธอ เพื่อใช้ในการทำลายโลก มัลคอล์มกลับมาอีกครั้ง และคราวนี้เขาสวมบทบาทที่ตัวเองไม่คุ้นเคยสักเท่าไหร นั่นก็คือการเป็นพระเอก

อย่างที่บอกแต่แรกค่ะ เราชอบมัลคอล์ม ชอบความมีมิติของเขา ในยามที่เป็นตัวร้ายเล่มแรก เราพบว่าเขาน่าสนใจกว่าพระเอก ดังนั้นในเล่มที่เขาควรจะโดดเด่นเหนือใคร มัลคอล์มก็โดดเด่นได้จริง ความที่เขาเป็นมังกรดำ ที่มีนิสัยสนใจใฝ่รู้ และชอบอยู่ตามลำพัง ความเข้าใจมนุษย์ของมัลคอล์มก็มีจำกัด ถึงจะอยู่ในโลกมนุษย์มานานเป็นร้อย ๆ ปี แต่มัลคอล์มก็ยังไม่อาจเข้าใจมนุษย์ได้ถ่องแท้ ดังนั้นเมื่อเขาพบว่าตัวเองตกหลุมรักกับมนุษย์ มันจึงสร้างความสนุกสนานให้กับเนื้อเรื่องอย่างยิ่ง (เขาไม่เข้าใจว่าเธอทำไมจึงไม่เข้าใจว่าเขารักเธอ)

โดยรวมหนังสือเล่มนี้น่าสนใจมากกว่าเล่มแรก แต่สิ่งที่ให้ความรู้สึกเหมือนกันก็คือ ความเบาบางของเนื้อเรื่อง แม็กซ์บรรยายไม่ถูกนะคะว่ามันคืออะไร แต่เรารู้สึกถึงความไม่จริงจังของตัวละครต่ออันตรายที่พวกเขากำลังเผชิญหน้า มันเหมือนกับว่าความกดดันในเรื่องมันไม่มากพอ แต่เมื่อคิดถึงอันตรายที่ตัวร้ายนำมา มันใหญ่หลวงนะคะ เพียงแต่เรารู้สึกว่าปฏิกริยาของตัวเอกในเรื่องไม่สมจริง หรือไม่ก็เป็นเพราะบรรยากาศในเรื่องดูผ่อนคลายเกินไป แต่นี่ก็เป็นเอกลักษณ์นึงของอลิสัน เจมส์ ซึ่งถ้าคุณอ่านงานของเธอมาสักระยะก็น่าจะเข้าใจ

เราไม่ได้บอกว่า มันแย่หรือเลวร้ายหรอกนะคะ เพียงแต่แม็กซ์เป็นคนที่ชอบเรื่องเครียดหน่อย (หรือไม่ก็ฮาแตกไร้สาระไปเลย) พอเจออะไรที่อยู่ตรงกลาง มันก็เลยทำให้เราไม่รู้สึกว่าเรื่องโดดเด่นจนถึงขนาดเข้าไปอยู่ในใจเราได้

เล่มนี้คะแนนที่ 70


The Dragon Master ของอลิสัน เจมส์

อันดับแรกเลยที่แม็กซ์มีปัญหากับหนังสือเล่มนี้ก็คือ เรามีความรู้สึกว่า อลิสันไม่ได้วางแผนที่จะเขียนเล่มนี้เลยตั้งแต่ต้น มันเหมือนกับว่าเธอวางแผนจะเขียนแค่สองเล่ม (Dragon Heat และ The Black Dragon) ซึ่งจากที่แม็กซ์ค้นข้อมูล ก็รู้ว่าตอนที่เซ็นต์สัญญากับเบิร์คเลย์ฉบับแรกนั้น อลิสันก็ขายหนังสือในชุดนี้ไปแค่สองเล่มเท่านั้น และอาจะเป็นได้ว่าชุดนี้ค่อนข้างฮิต จึงมีการให้เธอเขียนเรื่องต่อ และเธอก็เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา แต่อย่างที่บอกค่ะ มันไม่ใช่เล่มที่วางแผนมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นแม็กซ์จึงรู้สึกถึงความไม่สม่ำเสมอของเนื้อเรื่องมากเลยค่ะ

คาโรล ฮวน ที่แม้จะชื่อเหมือนชาวสแปนิช แต่ก็เป็นคนอเมริกันเชื้อสายเอเชีย พบว่าตัวเองเผชิญหน้ากับชายร่างเปลือยเปล่าที่ข่มขู่ให้เธอบอกเหตุผลที่เธอ เรียกตัวเขามายังโลกมนุษย์ เซ็ธเป็นมังกรไฟที่มีพลังอันน่าทึ่ง เขาไม่พอใจนักที่ตัวเอกกลายเป็นเหยื่อของผู้ควบคุมมังกรอีกครั้ง หลังจากที่โชคดีหนีไปได้เมื่อหลายร้อยปีก่อน

ปัญหาก็คือ คาโรลไม่ใช่คนที่เรียกเซ็ธมายังโลก ความจริงคือ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองสืบทอดเชื้อสายของผู้ควบคุมมังกร แต่การมาของเซ็ธก็เป็นการปลุกพลังแฝงอันนี้ในกายของเธอให้ตื่นขึ้น จากคนที่ไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ คาโรลพบว่าตัวเองกลายเป็นศูนย์กลางของมัน และมีความสามารถในการควบคุมมัน เพราะแม้แต่มังกรที่ทรงอำนาจที่สุด ก็ยังตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเธอได้

คาโรลเป็นตัวละครที่ปรากฎขึ้นมาในหนังสือชุดนี้ทั้งสองเล่ม แต่ในช่วงเวลาที่เธอมีบทบาท แม็กซ์ไม่รู้สึกว่าเธอมีความพิเศสอะไรซ่อนอยู่เลยสักนิด มันเป็นไปได้นะคะว่าคนแต่งอาจจะวางแผนเรื่องให้กับคาโรลอยู่แล้ว เพียงแต่เรารู้สึกว่า เจ้าความเป็น "ผู้ควบคุมมังกร" ของเธอ มันโผล่ขึ้นมาแบบซะงั้น (คือไม่มีที่มาที่ไป)

เรื่องนี้เป็นความขัดแย้งในตัวเองของคาโรล ที่พลังในกายผลักดันให้เธอแสวงหา และควบคุมมังกรให้มากที่สุด ในขณะที่ตัวตนที่เธอเป็นกลับรู้สึกว่าการกระทำนั้นมันน่ารังเกียจ แต่คาโรลก็ไม่มีทางเลือก เมื่อความจริงปรากฎว่า ปีศาจกำลังจะหลบหนีออกจากที่คุมขังได้แล้ว และเซ็ธเป็นเครื่องมือสำคัญของผู้ควบคุมมังกรในการจัดการกับปีศาจนั้น ภาระทั้งหมดจึงตกมายังเธอ ในกระทำในสิ่งที่เธออาจจะต้องเสียใจทีสุดในชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเธอ และมังกรไฟของเธอผูกพันกันมากกว่าแค่มนตร์ตราที่ผูกพวกเขาเอาไว้

สำหรับเรื่องนี้แม็กซ์โอเคกับตัวละครทั้งสองคนนะคะ ไม่ถึงกับประทับใจ ส่วนหนึ่งเพราะเราติดภาพของคาโรลตอนที่เธอออกมาในสองเล่มแรก ที่เราไม่รู้สึกว่าคาแร็คเตอร์ของเธอน่าสนใจขนาดจะต้องมีเรื่องเป็นของตัว เอง เราคิดว่าเธอเป็นตัวละครทีน่าเบื่อ แม้ในเรื่องนี้จะมีการเล่าภูมิหลัง และทำให้เธอน่าสนใจขึ้น แม็กซ์ก็ยังอดนึกถึงภาพเดิม ๆ ของเธอในหัวไม่ได้ ในกรณีนี้ไม่ใช่ว่า อลิสันเปลี่ยนแปลงคาแร็คเตอร์ของคาโรลจากหน้ามือเป็นหลังมือหรอกนะคะ เธอยังคงเป็นเหมือนเดิมพอสมควร แต่เจ้าความรู้สึกว่า อลิสันไม่ได้วางแผนสำหรับการเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาก็ค้างคาใจในรำคาญอยู่ เรื่อย

เซ็ธเป็นมังกรไฟที่รักสันโดษและชอบอยู่คนเดียว การถูกเรียกมาในโลกมนุษย์เป็นการทรมานที่เขาไม่ชอบอย่างรุนแรง แต่การได้เจอกับคาโรลเริ่มทำให้เขาเปลี่ยนใจ เซ็ธก็เช่นเดียวกับคาเล็บที่เรามีปัญหากับคาแร็คเตอร์ของเขา เพราะทั้งคู่มีพื้นฐานเป็นมังกรมากกว่ามนุษย์ ทำให้หลายครั้งเรารู้สึกว่า ตัวตนที่แท้จริงของเขาไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นมังกร (ในเรื่องของคาเล็บ เราคิดว่าตอนจบค่อนข้างลบล้างอาการติดขัดอันนี้ของเราได้พบสมควร โดยเฉพาะเมื่อเฉลยว่าแท้จริงแล้วลิซ่าเป็นใคร) แต่ในเล่มนี้ เซ็ธไม่เคยมีเซ็กส์มาก่อน (เคยแต่มีตอนที่ร่างเป็นมังกร) และมีคาโรลเป็นคนแรก ความรู้สึกของแม็กซ์ตอนที่อ่านน่ะมัน "ยี้" พอควรนะคะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตัวเองคิดมากไปไหม แต่เรานึกตลอดว่า ร่างที่แท้จริงของเซ็ธก็คือมังกรนะ ไม่ใช่คน

ความเป็นผู้ควบคุมมังกรของคาโรล และพลังอันไม่มีขีดจำกัดของเธอเป็นสิ่งที่ขัดใจแม็กซ์มาก เพราะมันลบล้างสิ่งที่อลิสันเขียนไว้ในสองเล่มแรกทั้งหมด ไม่มีการพูดถึงผู้ควบคุมมังกรในสองเล่มแรกเลย และเมื่อถูกพูดถึงก็กลายเป็นว่า นี่คือคนที่มีอำนาจมากที่สุด เรารู้สึกเหมือนคนแต่งพยายามจะทำให้ตัวละครทุกเรื่องของเธอเป็นคนที่ทรง อิทธิพลมากที่สุด แต่การทำอย่างนั้น มันก็เป็นการทำลายตัวตนของตัวละครตัวอื่นของเธอที่เธอเขียนขึ้นมาก่อนแล้ว (สปอยล์) เพราะลิซ่า ก็เคยเป็นตัวละครที่ทรงอำนาจมากที่สุดมาก่อนเช่น แต่ในเล่มนี้คาโรลสามารถควบคุมคนคนนั้นได้อย่างง่ายดาย

เราอยากให้เล่มนี้เป็นเล่มสุดท้ายในชุด เพราะคิดว่าอลิสันหมดมุขที่จะเขียนเรื่องในซีรี่ย์ชุดนี้แล้ว

คะแนนที่ 57

Dead Right // Cate Noble

เคท โนเบิ้ลเป็นนักเขียนชื่อไม่คุ้นหูแม็กซ์เลยนะคะ (เธอไม่ใช่ Kate Noble ที่เขียนหนังสือให้กับเบิร์คเลย์หรอกนะ คนละคนกัน) แต่พอแม็กซ์เห็นว่าจะมีหนังสือของเธอเรื่อง Dead Right ออกขาย เราก็สั่งซื้อทันที เพราะอะไรน่ะเหรอคะ

นั่นก็เพราะแชนน่อน แม็คเคนน่า

เคทเขียนเรื่องสั้นออกมาก่อนเรื่องนึงเมื่อปีก่อน โดยรวมอยู่ในหนังสือเล่มเดียวกับเรื่องสั้นของแชนน่อน แม็กซ์ยังไม่ได้อ่านหรอกค่ะ แต่ดูแล้วคิดว่าน่าสนใจดี

บางครั้งเราก็สั่งซื้อหนังสืออย่างไม่ค่อยจะมีเหตุผลเท่าไหรหรอกนะ

และลองนึกดูสิคะว่า แม็กซ์เจอกับความประหลาดใจมากขนาดไหน เมื่อเปิดหน้าลิขสิทธิ์ของหนังสือเรื่องนี้ดูเข้า แล้วเจอชื่อจริงของเคท ปกติแม็กซ์ก็ไม่ได้มีความจำยอดเยี่ยมอะไรหรอกนะคะ แต่พอเราเห็นชื่อจริงของเธอ เราก็รู้สึกว่าชื่อนี้มันคุ้น ๆ นะ

หลังจากเซิร์จข้อมูลดูแป๊บเดียว เราก็รู้ว่า แท้จริงแล้วเคท โนเบิ้ลเป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ เพราะเธอเคยเขียนหนังสือออกมาหลายเล่ม โดยใช้นามปากกาว่า ลอเรน แบช

และรู้อะไรไหมคะ แม็กซ์ชอบงานของลอเรน แบชมาก โดยเฉพาะสมัยที่เธอเขียนให้กับสนพ.วอร์เนอร์ (ที่ตอนนั้นยังไม่ขายกิจการให้แฮ็ทแชตเลย)

หนังสือเล่มแรกของลอเรนเรื่อง Lone Rider เป็นต้นแบบงานแนวโรแมนติกสืบสวนที่แม็กซ์เอาไปใช้วัดนักเขียนหน้าใหม่ทุกคน เลยนะคะ เรื่องนั้นไม่ใช่ว่าเฟอร์เฟ็ค แต่มันน่าทึ่งสำหรับนักเขียนที่เพิ่งเขียนเล่มแรก

ปัญหาก็คือ คุณภาพงานเขียนของลอเรนตกต่ำลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งเธอหายหน้าไปจากวงการในที่สุด แต่แม็กซ์ก็ยังคิดถึงเธออยู่นะคะ แม้เล่มหลัง ๆ ของเธอจะไม่ดี แต่เราก็อดคิดไม่ได้ว่าเธอมีพรสวรรค์มากเกินกว่าที่จะหายไปเฉย ๆ

และตอนนี้เธอกลับมาแล้ว

Dead Right ของเคท โนเบิ้ล

หนังสือเรื่องนี้โฆษณาว่าเป็นเล่มแรกในซีรี่ย์เกี่ยวกับสายลับ ซึ่งเป็นพล็อตแนวที่แม็กซ์ชอบเสียด้วย เพื่อน ๆ รู้อะไรไหมคะ

แม็กซ์อยากจะชอบเรื่องนี้มาก ๆ แม็กซ์เตรียมใจแล้วว่าเราจะต้องชอบเรื่องนี้ ก็แหมเป็นงานของนักเขียนที่เรารอคอยการกลับมานานแล้ว พล็อตเรื่องก็แนวเราเลย เรื่องราวของสายลับที่ถูกคิดว่าตายไปแล้ว แต่ยังมีชีวิตอยู่ และตอนนี้เขากำลังตามหาหญิงสาวที่เขารัก แต่คิดว่าทรยศเขาอยู่

แต่พอแม็กซ์เปิดหน้าแรก เราก็รู้เลยว่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายแล้วล่ะที่จะยอมรับเรื่องนี้ เพราะบางส่วนของเรื่องเกิดขึ้นในประเทศไทยของเรานั่นเอง และจากประสบการณ์ที่อ่านหนังสือมา เราแทบจะไม่เคยเจอนักเขียนที่เขียนเรื่องเกิดในประเทศไทย (หรือเอ่ยถึงประเทศไทย) เขียนด้วยความเข้าใจในความเป็นเมืองไทยของเราจริง ๆ สักคน (อาจจะยกเว้นให้ซาบริน่า เจฟฟรีย์นะคะ ที่เราค่อนข้างยอมรับการเขียนเรื่องย้อนยุคที่เกิดในเมืองไทยของเธอ)

และเล่มนี้ก็เ่ช่นกัน ดังเต้ จอห์นสันเป็นสายลับซีไอเอที่ไปปฏิบัติการในกัมพูชา (ซึ่งแม็กซ์ก็ไม่เข้าใจว่าจะไปทำแป๊ะอะไร) แล้วถูกจับตัวมาขัง + ทรมานในคุกเมืองไทย เริ่มต้นมันก็มั่วแล้วนะคะ เราไม่รู้สึกว่ามันโยงกันเข้ามาได้ยังไง ยิ่งตอนหลังมาเปิดเผยอีกว่า ผู้ร้ายเป็นมาเฟียรัสเซีย เราก็ยิ่งงงว่า มันมาเมืองไทยได้ยังไง ระหว่างอยู่ที่นั่นดังเต้ถูกตีสนิทโดยผู้คุมคนไทย ซึ่งเสนอว่าจะช่วยให้เขาหนี ดังเต้จัดทำ Blood Chit หรือหนังสือที่เขียนด้วยเลือดของดังเต้ จดเบอร์โทรศัพท์ของผู้บังคับบัญชาของเขา เป็นหลักประกันว่า คนที่ช่วยเหลือเขาจะได้รับความช่วยเหลือทุกอย่าง (ประมาณว่าจะให้ลี้ภัยไปอเมริกากันทั้งครอบครัวนั่นเลยนะ) จากคนที่อยู่เบื้องหลังเบอร์โทรศัพท์ที่ดังเต้จดให้ แต่การหนีของเขาก็ไม่สำเร็จ ก่อนที่อยู่ดี ๆ เขาก็ถูกส่งตัวไปขังไว้ในคุกที่กรุงเทพ ก่อนที่เพื่อนสายลับของเขาจะมาพบตัวและช่วยพอกลับอเมริกา

การเริ่มต้นเรื่องก็เป็นสิ่งที่แม็กซ์ยากจะทำใจยอมรับแล้วนะคะ มันขาดความสอดคล้องต่อเนื่อง แม็กซ์พยายามถามตัวเองว่า ที่เราไม่สบอารมณ์กับเรื่องนี้เพราะมันว่าประเทศไทยห่วยแตกรึเปล่า ซึ่งเมื่อคิดดูแล้วก็ไม่ใช่นะคะ แม็กซ์ยอมรับว่าเมืองไทยเรายังเป็นประเทศที่เงินซื้อหาได้ ขอให้มีเงินก็ติดสินบนข้าราชการหรือใครก็ได้ เราเชื่อว่าการคอรัปชั่นในเมืองไทยมีจริง และมีอย่างแพร่หลาย แต่เรารู้สึกว่าคนแต่งไม่ได้รู้จักประเทศไทย ไม่ได้รู้ว่า แม้คนไทยจะซื้อได้ แต่ไม่ใช่แบบที่เขาเขียน อย่างน้อยมันต้องแนบเนียนหน่อยสิ

แล้วไอ้ Blood chit นี่เอง แม็กซ์พอจะรู้ประวัติศาสตร์ของมันมาบ้างว่าเป็นเหมือนจดหมายที่แจ้งว่า คนที่ถือเป็นมิตร และต้องมีการตอบแทนบุญคุณกัน แต่คิดดูให้ดีนะคะ สายลับซีไอเอนี่นะมีการออก Blood Chit กันได้ มันไม่น่าเชื่อ เท่าที่แม็กซ์รู้ เขาใช้กันในการทหาร (ทหารที่เครื่องบินโดนยิงตกในเขตศัตรู แล้วได้รับการช่วยเหลือจากชาวบ้านที่เป็นพลเมืองของศัตรู คนที่ช่วยก็จะได้รับการช่วยกลับ ในกรณีที่พวกเขาถูกรัฐบาลของตัวเองเอาผิด) ในเคสนี้มันไม่มีเหตุผลเลยที่ดังเต้จะใช้ Blood Chit ให้ตายสิ เขาเป็นสายลับนะโว้ย แล้วจะหวังให้ใครมาช่วยอีกวะ

การบรรยายฉากที่เกิดในเมืองไทยเป็นไปแบบที่คนไทยจำไม่ได้หรอกค่ะว่า เกิดในประเทศนี้ เพราะมันลางเลือนและมุ่งเน้นเฉพาะการดูถูกคนไทยที่เห็นแก่เงิน และโหดร้ายเลวทราม ในคุกที่ดังเต้อาศัยอยู่มีนักโทษการเมืองจากพม่าถูกขังไว้ด้วย พวกนั้นถูกทรมานเช้าเย็นหลังอาหาร แม็กซ์ไม่บอกนะคะว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีสถานที่ยังงั้น แต่เราไม่รู้สึกว่า รัฐบาลไทยจะทำไปเพื่ออะไร ถ้าเป็นการจับนักโทษการเมืองของคนไทยเองไปขังก็ไปอย่างนะคะ เราจะเอานักโทษการเมืองพม่ามาทำอะไร พวกนั้นเป็นศัตรูของรัฐบาลทหารพม่า เราจะเอาพวกนี้มาต่อรองอะไรได้

เราอาจจะพูดไปโดยไม่รู้ความจริงหรอกนะ เราเชื่อว่าคนไทยทำได้ แต่เราไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่ออะไร

แม็กซ์มีความรู้สึกว่า เคทไม่เคยมาเหยียบเมืองไทยด้วยซ้ำ เธอแค่เลือกเมืองไทย เพราะมันดูป่าเถื่อนดีเข้ากับเนื้อเรื่องของเธอดี เพราะสิ่งที่เธอบรรยายว่าเป็นประเทศไทย มันคือประเทศอะไรในโลกก็ได้

เราเคยพูดรึยังว่า จากประสบการณ์ที่แม็กซ์อยู่อเมริกามาหลายปี แม็กซ์เชื่อว่า คนอเมริกันเป็นกบในกะลามากที่สุดในโลก คนอเมริกันส่วนใหญ่ แม้กระทั่งเด็กในมหาวิทยาลัยไม่รู้จักโลกภายนอกประเทศของตัวเอง ดังนั้นการจะคาดหวังให้พวกเขารู้จักประเทศไทยเป็นไปไม่ได้เลย (เราเคยโดนถามว่า เราขี่ช้างไปไหนต่อไหนในกรุงเทพใช่ไหม) และเคทก็กำลังแสดงความด้อยปัญญาของตัวเองออกมา

ขอกลับมาที่เนื้อเรื่องกันต่อค่ะ ดังเต้เมื่อถูกช่วยเหลือกลับมาอเมริกันอันแสนดีและแสนสุขแล้ว เขาก็พบว่าตัวเองมีความสามารถพิเศษเกิดขึ้น บางครั้งเขาเห็นเหตุการณ์ในอนาคตได้ แต่เขาไม่ต้องกาารให้ตัวเองเป็นหนูทดลองของรัฐบาล ดังเต้จึงปลีกตัวออกมาจากซีไอเอ จนกระทั่งเขาถูกลอบวางระเบิดเพื่อหมายปองเอาชีวิต

และนั่นทำให้เขาเริ่มรู้สึกว่า คาตาลีน่า ดีออง หญิงสาวที่เขารักจนสุดหัวใจ และเป็นคนคนเดียวกับทีทรยศเขายังมีชีวิตอยู่ และนั่นทำให้ดังเต้เริ่มสืบหาว่าเธออยู่ที่ไหน สิ่งที่ดังเต้ไม่รู้ก็คือ นั่นเป็นแผนการของคนร้ายที่ต้องการตามหาตัวแคทอยู่ และหวังใช้ดังเต้เป็นเครื่องมือในการหาตัวเธอ

แม็กซ์รู้สึกเสียดายหนังสือเรื่องนี้ด้วยหลายเหตุผลนะคะ นอกจากการเอาประเทศไทยเป็นฉากโดยที่คนแต่งไม่มีความรู้เกี่ยวกับประเทศเรา สักนิดแล้วก็คงเป็นในส่วนความสัมพันธ์ระหว่างดังเต้ และแคท ที่เราว่าเขาเขียนได้ดี และสื่อถึงความผูกพันของทั้งคู่มาก (ผ่านการเล่าเหตุการณ์ในอดีต) ทำให้เรารู้สึกว่าสองคนนี้เป็นคู่ที่เหมาะสมกันอย่างยิ่ง ปัญหาก็คือ ตลอดเวลาเกือบทั้งเล่ม ดังเต้เข้าใจว่าแคททรยศเขา และใช้เวลาหมดไปกับการตามหาเธอ

หนังสือเรื่องนี้หนาสามร้อยสี่สิบหน้า และดังเต้ไม่ได้พบกับแคทจนกระทั่งปาเข้าไปเกือบสองร้อยห้าสิบหน้า และจากนั้นแคทก็หนีไปอีก ก่อนที่จะกลับมาร่วมมือกันก็ปาเข้าไปหน้าสอยร้อยแล้ว เื่รื่องมันไม่ควรโฆษณาว่าเป็นโรแมนติกสืบสวน เพราะมันไม่โรแมนติคหรอกนะที่พระนางไม่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเลย

แล้วในส่วนสืบสวนก็ยังอ่อนด้อย ดังเต้ไม่ได้ค้นพบความจริงอะไรสักอย่าง คนอ่านรู้เรื่องที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้ร้ายคิด และนั่นทำให้คนอ่านรู้เรื่องมากกว่าดังเต้เสียอีก มันไม่ได้แสดงความเก่งกาจของพระเอกเลยสักนิด

บอกตามตรงว่า เสียดายค่ะ (แม็กซ์ใช้คำนี้บ่อยมาก) เพราะเราเชื่อว่าฝีมือการเขียนของเคท มีศักยภาพที่จะทำให้หนังสือเล่มนี้ดีเทียบเท่ากับนักเขียนชื่อดังหลายคน แต่การวางพล็อตที่ไม่แน่น และการดูถูกประเทศอื่นที่ไม่ใช่อเมริกาของเธอ ทำลายทุกอย่างที่ควรจะดีมาก ๆ ในเล่มนี้ไป

คะแนนที่ 33

Quinn's Return // Shannon Anderson & Return to Me // Shannon McKenna

หนังสือเล่มนี้เป็นความภาคภูมิใจของแม็กซ์ค่ะ ที่สามารถค้นหาจากตลาดหนังสือมือสองในเน็ตมาได้ แม็กซ์ซื้อหนังสือเล่มนี้มาโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพล็อตเรื่องเป็นยังไง เหตุผลเดียวที่เราอยากได้เล่มนี้ก็คือความจริงที่ว่า แชนน่อน แอนเดอร์สันเป็นนามปากกาของคนแต่งที่ใช้ชื่อว่า แชนน่อน แม็คเคนน่า

และคนที่อ่านบลอกของแม็กซ์มานานพอ หรือรู้จักแม็กซ์ ก็จะรู้ว่า แม็กซ์คลั่งไคล้แชนน่อน แม็คเคนน่ามากขนาดไหน

ก่อนที่แชนน่อนจะประสบความสำเร็จในนามของแม็คเคนน่า เธอเคยเขียนหนังสือเล่มเล็ก (ความยาวไม่ถึงสองร้อยหนา) ให้กับสนพ.ที่ปัจจุบันเลิกผลิตไปแล้ว โดยใช้นามปากกาว่าแชนน่อน แอนเดอร์สัน

หนังสือที่เธอเขียนในนามปากกาแชนน่อน แอนเดอร์สันมีห้าเล่ม ซึ่งตอนนี้แม็กซ์มีในครอบครองแล้วสี่เล่ม เหลืออีกเล่มนึงค่ะ ซึ่งก็คงต้องตามหากันต่อไป

แม็กซ์เลือกหยิบเล่มนี้มาอ่านก่อนเลย เพราะดูพล็อตแล้วน่าสนดี เรื่องราวของชายหนุ่มที่เดินทางกลับมาบ้านเกิดหลังจากจากไปนานหลายปี

พล็อตอย่างนี้เป็นพล็อตที่ใช้กันบ่อยมากในนิยายโรแมนซ์ ดังนั้นเราจึงไม่ได้คิดอะไรมาก ดังนั้นลองนึกถึงความแปลกใจของตัวแม็กซ์ดูสิคะที่เมื่อเราเริ่มต้นอ่าน ประโยคแรกในเล่มแล้วรู้สึกว่ามันคุ้น

เอาเป็นว่าโคตรคุ้นเลยแล้วกัน

นั่นก็เพราะหนังสือเรื่อง Quinn's Return ก็คือต้นแบบของหนังสืออีกเรื่องที่แชนน่อนเขียนในเวลาต่อมา ด้วยนามปากกาแชนน่อน แม็คเคนน่า โดยใช้ชื่อเรื่องว่า Return to Me

หลังจากอ่านเล่มนี้จบ เราขอสรุปเลยแล้วกันว่า เรื่อง Quinn's Return ถูกนำกลับไปรีไซเคิล โดยยังคงรักษาพล็อตหลักของเรื่องเอาไว้เกือบหมด ทั้งประโยค คำพูด การบรรยายเรื่อง ถูกนำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่อง Return to Me กระทั่งชื่อของพระนางก็ยังเกือบจะเหมือนกัน

เราเลยถือเป็นโอกาสอันดีนะคะ รีวิวหนังสือทั้งสองเล่มนี้ไปในคราวเดียวกันเลยดีกว่า

Quinn's Return ของแชนน่อน แอนเดอร์สัน

แม็กซ์หาภาพปกของหนังสือเล่มนี้ไม่เจอนะคะ เลยไม่ได้เอามาลงให้ดูกัน (ถ้ามีโอกาสจะถ่ายรูปของเล่มที่แม็กซ์มีในครอบครอบมาลงแล้วกันนะคะ)

ไซม่อน ควินน์ซึ่งเป็นช่างภาพที่ประสบความสำเร็จ ตัดสินใจเดินทางกลับมายังบ้านเกิดอีกครั้ง เพื่อสะสางเกี่ยวกับมรดกของกัส ควินน์ผู้เป็นลุงที่เพิ่งเสียชีวิตไป แต่การกลับมาของเขาก็สร้างความสั่นสะเทือนให้กับคนทั้งเมือง ที่ยังคงจดจำพฤติกรรมห่าม ๆ ของเขาในวัยเด็กได้ และนั่นรวมทั้งเอลินอร์ คอนเนอร์ หญิงสาวตระกูลเก่าผู้เพียบพร้อม ผู้ซึ่งเติบโตมาพร้อม ๆ กับไซม่อน

เด็กทั้งสองผูกพันกันมาก ความผูกพันที่ดึงรั้งเอลินอร์เอาไว้ไม่ให้มีความสัมพันธ์กับใครอื่น จนกระทั่งในที่สุดเธอตัดสินใจที่จะตัดใจจากไซม่อนผู้ซึ่งนับแต่จากไปจาก เมืองเขาก็ไม่เคยติดต่อเธออีกเลย แอลลี่ตัดสินใจเริ่มต้นชีวิตที่เธอต้องการเสียที เธอตอบรับหมั้นจากชายหนุ่มเนื้อหอมของเมือง แบรด มิชเชลล์เป็นชายในฝันสำหรับผู้หญิงหลายคน แต่เมื่อไซม่อนกลับมา แอลลี่ก็พบความจริงว่า ตัวเองไม่เคยตัดใจไปจากเขาได้เลย

หนังสือเรื่องนี้เป็นหนังสือรักแบบเบสิค นั่นหมายถึงไม่มีอะไรในพล็อตมากไปกว่าเรื่องรักระหว่างไซม่อน และแอลลี่ เรื่องราวที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย และไม่โทษแอลลี่เลยที่เลือกไซม่อน ในเมื่อแบรด และครอบครัวของเขาดูช่างห่วยแตก และแม็กซ์ก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมแอลลี่ทนพวกนั้นได้จนถึงกับหมั้นหมายกับแบรด (ถ้าจะคิดว่าพวกนั้นลายยังไม่ออก ก็ไม่น่าเชื่อ เพราะพฤติกรรมของพวกนี้มันแย่นะ ไม่น่าจะเก็บซ่อนไว้ได้นาน)

มันไม่แปลกอะไรสักนิดเมื่อแอลลี่เลือกไซม่อน แต่มันกลับกลายเป็นจุดด้อยของไซม่อนที่ไม่กล้าตัดสินใจ พระเอกของเราหวาดกลัวความรัก อย่างไม่มีเหตุผล มีการแย้ม ๆ ถึงการที่เขาถูกทารุณในวัยเด็กจากผู้เป็นลุงบ้าง แต่ก็ไม่ชัดเจนเพียงพอ แม็กซ์อ่านแล้วไม่เห็นใจ หรือสงสาร ออกจากหมั่นไส้ด้วยซ้ำที่เขาเลือกที่จะเดินจากแอลลี่ไป

แต่โดยรวมรู้อะไรไหมคะ แม็กซ์มองเห็นโอกาสของการที่หนังสือเล่มนี้จะได้รับการแปลเป็นภาษาไทย มากกว่าเรื่อง Return to Me (ที่เราคิดว่าดีกว่าหลายขุม) เสียอีก เพราะเรื่องนี้มีองค์ประกอบทุกอย่างที่สนพ.ในเมืองไทยชอบ ไม่ว่าจะเป็นตัวเรื่องที่บางจ๋อย (แค่ร้อยหกสิบกว่าหน้า) นางเอกที่เป็นสาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง เก็บเนื้อเก็บตัวเอาไว้ให้พระเอก

แต่สำหรับแม็กซ์ คะแนนที่ 57

Return to Me ของแชนน่อน แม็คเคนน่า

อย่างที่บอกไปแล้วนะคะ หนังสือเรื่องนี้ก็คือการเอาเรื่อง Quinn's Return มาเขียนใหม่ และมันช่างเป็นการเขียนใหม่ที่เพิ่มเติมความสมบูรณ์แบบให้เนื้อเรื่องอย่าง มาก

ตัวแม็กซ์เองกลายมาเป็นแฟนหนังสือของแชนน่อนก็เพราะเล่มนี้ (เราอ่านเรื่องนี้ก่อนอ่าน Quinn's Return ค่ะ) คนแต่งเขียนได้ดีมากขนาดที่เราไม่รู้เลยสักนิดว่าส่วนที่เพิ่มเติมเข้ามาคือ ส่วนแทรกขึ้น ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของพล็อตเรื่อง

พล็อตของหนังสือเรื่องนี้เหมือนกับเรื่อง Quinn's Return ชนิดลอกกันมากเลยแหละ (ก็มันลอกกันจริง ๆ นี่) เพียงแต่ในเล่มนี้พระเอกของเราชื่อว่า ไซม่อน ไรลี่ย์ เขาเป็นช่างภาพระดับเจ้าของรางวัล และผ่านการถ่ายภาพในสงครามโหดมาแล้ว เขาตัดสินใจเดินทางกลับบ้านเกิด เพราะอีเมลล์ที่ได้รับจากกัส ผู้เป็นลุง ซึ่งในตอนเปิดเรื่องได้เสียชีวิตลงแล้ว ลุงของเขาได้ชื่อว่าเป็นคนเพื้ยนและชอบใช้ความรุนแรง ซึ่งไซม่อนรู้เป็นอย่างดี แต่ในอีเมลล์นั้นมันราวกับว่า กัสมีช่วงเวลาที่ชัดเจนเกิดขึ้น ในอีเมลล์กล่าวถึงเหตุการณ์บางอย่างในอดีตที่กัสได้เข้าไปเห็นเป็นพยาน การกระทำที่โหดเหี้ยมผิดมนุษย์ การกระทำที่ตามหลอกหลอนกัส และเป็นสิ่งที่กัสต้องการให้ไซม่อนระวังตัวจากผลพวงของมัน

ไซม่อนเดินทางกลับมา และเขาก็ได้พบกับเอล หรือเอเลน เค้นต์ สาวน้อยที่บัดนี้ได้กลายเป็นเจ้าของโรงแรมชนิดเบดแอนด์เบรคฟาสต์ที่ซึ่งเขา มาเข้าพัก (ส่วนนี้เหมือน QsR ค่ะ) และเช่นเดียวกัน เอเลนที่รักไซม่อนมาตลอดชีวิต เธอตัดสินใจเลิกรอคอยการกลับมาของเขาแล้ว เธอได้หมั้นหมายกับแบรด ชายหนุ่มผู้เพียบพร้อม แต่แล้วการกลับมาของไซม่อนก็ทำให้เอเลนต้องทนทวนทุกอย่างอีกครั้ง

ในหนังสือเล่มนี้ ความผูกพันระหว่างไซม่อนและเอเลนถูกถ่ายทอดออกเป็นตัวหนังสือไ้ด้ชัดเจน ทำให้แม็กซ์รู้สึกถึงความรักที่เริ่มต้นจากความเป็นเพื่อน จนกลายเป็นความรักฝังใจที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด ก็ไม่อาจทำให้ไซม่อน และเอลลืมเลือนอีกฝ่ายได้เลย

ในเล่มนี้อดีตของไซม่อนถูกเล่าออกมามากพอจนทำให้แม็กซ์เข้าใจความต้องการ หลีกหนีความรักของเขา เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมองว่าตัวเองไม่เหมาะกับความรัก เข้าใจเหตุผลที่เขาเลือกที่จะเดินออกจากชีวิตของเอล (ในขณะที่ QsR มันเป็นคำถามข้อใหญ่ที่เรามี) แม้จะไม่เห็นด้วยนะ แต่อย่างน้อยก็ไม่รู้สึกว่าพระเอกงี่เง่าที่เดินจากสิ่งดี ๆ อย่างเอลไป

นี่ยังไม่ได้พูดถึงฉากเซ็กส์ที่ฮ็อตกว่าอีกค่ะ ความสามารถของแชนน่อนก็คือ เธอไม่ได้เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบอะไรในเรื่องเลย การเพิ่มดีกรีความร้อนแรงไม่ได้ทำให้เนื้อเรื่องสูญเสียไป

นอกจากนี้แล้วการเติมพล็อตในส่วนของความลึกลับในอดีตของกัสที่ตามมาระราน ไซม่อนในปัจจุบันก็ทำให้เรื่องมีน้ำหนัก และน่าติดตามอ่านยิ่งขึ้น

และส่วนที่แม็กซ์ชอบมากที่สุดก็คือ เรื่องนี้คู่หมั้นของเอลไม่ใช่ตัวร้ายที่เป็นอย่างใน Quinn's Return เพราะแบรดมาด้านลึกที่ซ่อนเอาไว้ เราชอบมาก ๆ ที่แชนน่อนเขียนแบรดในเวอร์ชั่นใหม่ ผู้ชายที่มีสองด้าน ด้านนึงอาจจะไม่ชอบไซม่อน (ใครจะชอบเขาได้ในเมื่อไซม่อนคือตัวปัญหาในวัยเด็ก และยังแย่งเอลไปจากแบรดอีก) ในอีกด้านนึงเขาก็ยังเป็นมนุษย์ที่รู้จักผิดชอบชั่วดี

คะแนนที่ 87

การที่แม็กซ์ได้มีโอกาสอ่าน Quinn's Return ที่แม้จะไม่ได้สนุกอะไร แต่เราก็ไม่ได้คาดหวังหรอกนะคะว่าจะสนุก แม็กซ์คิดเสมอว่าหนังสือที่สั้นขนาดนั้น แทบจะไม่มีโอกาสที่จะสนุกขึ้นมาได้หรอก การที่เราได้เห็นต้นแบบของ Return to me ทำให้เราตระหนักแก่ใจถึงพัฒนาการของแชนน่อนในฐานะนักเขียนยิ่งขึ้น เพราะหนังสือทั้งสองเรื่องนี้ใช้พล็อตและการดำเนินเรื่องที่เกือบเหมือนกัน แต่การเพิ่มเติม เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยกลับทำให้ความเห็นที่เรามีต่อหนังสือสองเล่มนี้แตกต่าง กันไปโดยสิ้นเชิง

Simply Perfect // Mary Balogh

พล็อตที่ใช้กันบ่อยครั้งมากในหนังสือโรแมนซ์ก็คือ พล็อตที่พระเอกและนางเอกตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกพบ และความสัมพันธ์ที่ตามมานับจากนั้น

แต่ในหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวของการตกหลุมรักของคนสองคน ที่ไม่ได้ปิ๊งกันตั้งแต่แรกพบ แต่การที่ได้รู้จัก พูดคุยกัน และเรียนรู้เื่รื่องราวของกันและกัน ทำให้กลายเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ อาจจะยิ่งกว่ารักแรกพบเสียอีก

Simply Perfect ของแมรี่ บาล็อคธ์

หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่สี่ในชุด Simply ซึ่งเป็นเรื่องราวของครูสาวสี่คนในโรงเรียนสำหรับเด็กผู้หญิงของมิสมาร์ติน แต่คุณไม่จำเป็นต้องอ่านเรื่องราวก่อนหน้าในชุดนี้หรอกนะคะ ยังไงก็รู้เรื่อง (แต่คุณอาจจะเกิดอาการคาแร็คเตอร์โอเวอร์โหลดก็เป็นได้ เพราะมีตัวละครในเล่มอื่น ๆ (ซึ่งไม่ใช่แค่สามเล่มก่อนหน้าหรอกนะ เพราะเรื่องนี้มีตัวละครในหลายชุดที่แมรี่เคยแต่งอยู่ด้วย) โผล่มาเต็มไปหมด

นางเอกของเรื่องก็คือ คลอเดีย มาร์ติน เจ้าของโรงเรียนนั่นเอง คอร์เดียเป็นสาวแก่ (ซึ่งก็แก่จริง ในวัยสามสิบห้าปี) ที่ออกจากรังเกียจบรรดาขุนนางบรรดาศักดิ์สูง โดยเฉพาะดยุค นั่นเพราะเธอมีประสบการณ์ไม่ดีกับดยุคพวกนี้มาก่อน เธอได้พบกับทายาทของดยุคอย่าง โจเซฟ ซึ่งปัจจุบันดำรงบรรดาศักดิ์มาร์ควิสแห่งแอทติ้งโบโรห์ ซึ่งรับฝากข้อความจากเพื่อนสนิทของเธอ (ก็นางเอกเล่มสามในชุดล่ะ) มาส่งให้ระหว่างที่ทางที่เขากำลังจะไปเยี่ยมบิดา พร้อมทั้งยังรับอาสาพาคอร์เดียกลับไปลอนดอนพร้อมกับเขาด้วยในขากลับเข้า เมืองของตัวเอง

คอร์เดียซึ่งไม่ชอบขี้หน้าบรรดาขุนนางยศสูงพวกนี้อยู่แล้ว จำใจตกปากรับคำ เพราะไม่อาจปฏิเสธได้ แต่แล้วการที่ทั้งสองได้เดินทางร่วมกันไปลอนดอน ก็ทำให้คอร์เดียพบว่า โจเซฟมีอะไรมากกว่าความหยิ่งผยองงี่เง่าแบบขุนนาง

โจเซฟมีความคิดที่ลึกล้ำ เป็นคนที่มีความรับผิดชอบ อย่างไม่น่าเชื่อคอร์เดียพบว่าตัวเองเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อเขา

เมื่อทั้งคู่มาถึงลอนดอน คอร์เดียคิดว่ามันคือจุดสิ้นสุดการได้รู้จักกันของทั้งคู่แล้ว แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะไม่ปล่อยสองหนุ่มสาวให้แยกกันได้นานนัก เพราะโจเซฟซึ่งเป็นญาติห่าง ๆ กับตัวละครหลายตัว ที่แต่ละคนก็ล้วนรู้จักคอร์เดียในช่วงชีวิตช่วงใดช่วงหนึ่งของเธอ พาเขากลับมาพบเธอหลายครั้ง และคอร์เดียนี่เองที่โจเซฟหวังเป็นที่พึ่งในการนำลูกสาวนอกกฎหมายผู้ตาบอด ของเขาเข้าโรงเรียน

โจเซฟแตกต่างจากขุนนางหนุ่มทั่วไป เพราะเมื่อเมียเก็บของเขาท้อง และคลอดลูกสาวที่ตาบอด โจเซฟหยุดการใช้ชีวิตเสเพลทั้งหมด และทุ่มเวลาให้กับเด็กน้อยผู้นั้น เขาถึงขนาดเลิกยุ่งเกี่ยวกับหญิงสาวทุกคน และปฏิเสธไม่ยอมแต่งงานกับหญิงผู้เหมาะสม เพราะเขาไม่อาจใช้ชีวิตสองหน้าได้ แต่เมื่อแม่ของลูกสาวของเขาตายลง และดยุคผู้เป็นบิดาของเขาป่วย โจเซฟก็รู้ว่า ถึงเวลาที่จะต้องทำหน้าที่แล้ว

หญิงสาวผู้เพียบพร้อมถูกเลือกให้เขา ซึ่งโจเซฟก็ยอมรับในการกำหนดนั้น เพียงแต่เขาไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้สนใจมิสมาร์ตินผู้แข็งกร้าวได้เลย เธอไม่เหมือนอย่างที่เขาคิดเมื่อแรกเห็น คอร์เดีย มาร์ตินเป็นหญิงสาวที่ประสบความสำเร็จในโลกของผู้ชาย เธอกล้าที่จะก่อตั้งโรงเรียนด้วยเงินทุนของตัวเอง เธอมีชีวิตที่เป็นอิสระ และฉลาดที่สุดเขาเคยได้เจอ

อย่างที่บอกนะคะ หนังสือเรื่องนี้เป็นการอ่านเรื่องราวของการตกหลุมรัก ทั้งคอร์เดีย และโจเซฟมีเปลือกภายนอกที่ปรากฎต่อคนอื่น เปลือกเหล่านั้นค่อย ๆ หลุดไปเมื่อทั้งคู่ได้รู้จักกันมากขึ้น ความสัมพันธ์ของทั้งสองเริ่มต้นเพราะโจเซฟต้องการให้คอร์เดียรับลูกสาวตาบอด ของเขาเข้าโรงเรียน ก่อนที่จะพัฒนาไปไกลกว่านั้น แต่นั่นคือ ความรักที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ ทั้งคอร์เดียและโจเซฟต่างรู้ดี และสิ่งที่แม็กซ์ชอบมาก ๆ ในเรื่องนี้ก็คือ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่เคยไปไกลเกินการจูบ เพราะในเวลานั้นโจเซฟรู้ว่า เขากำลังจะหมั้นหมายกับหญิงสาวอีกคน ในขณะที่คอร์เดียก็รู้ตัวว่าไม่เหมาะสมกับการเป็นดัชเชส

การดำเนินเรื่องของเล่มนี้เป็นไปอย่างเนิบนาบนะคะ แต่ไม่น่าเบื่อเลยสักนิดเดียว แม็กซ์ชอบที่ได้รู้จักผู้ชายอย่างโจเซฟ เขาเคยเป็นตัวละครรองในหนังสือหลายเล่ม และแม็กซ์บอกตามตรงว่าไม่เคยคิดว่าเขาจะ "ลึก" ได้เพียงนี้ ในขณะที่คอร์เดียเป็นตัวละครที่คงรักษาบุคลิกของเธอไว้ แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่รู้สึกว่าเธอ "แข็ง" เกินไป

ติดใจประเด็นเดียวในเรื่องนี้ค่ะ นั่นก็คือการคลี่คลายเกี่ยวกับคู่หมั้นของโจเซฟมันง่ายเกินไป เราอยากให้เขาโจเซฟเป็นคนตัดสินใจเองมากกว่า (แม้ว่าการตัดสินใจนั่นจะนำความเสื่อมเสียมาให้เขามากแค่ไหนก็ตาม) จบแบบนี้ทำให้มันดูไม่สมจริงน่ะค่ะ แต่เป็นการจบที่ปราณีต่อตัวละครอย่างยิ่ง

คะแนนที่ 77

Sizzle and Burn // Jayne Ann Krentz

แม็กซ์พูดทุกครั้งที่เขียนรีวิวงานของเจนย์ แอนด์ ครานซ์ว่า เรายังคงเป็นแฟนหนังสือของเธอเสมอ แม้จะเป็นความจริงอย่างยิ่งว่า งานในยุคตอนนี้ไม่เหมือนกับสิ่งที่เธอเขียนในอดีต และในฐานะที่คนที่เคยเป็นแฟนหนังสืออันดับหนึ่งของเธอในยุคนั้น มันเป็นความน่าเสียดาย

แต่แม้จะบอกว่า มันเทียบไม่ได้กับงานในอดีต งานเขียนของเจนย์ แอนด์ ครานซ์ก็สนุกกว่างานที่ดีที่สุดของนักเขียนหลายคน

และแน่นอนว่า แม็กซ์หมายความรวมถึงเรื่องนี้ด้วย

Sizzle and Burn ของเจนย์ แอนด์ ครานซ์

หนังสือเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของชุด An Arcane Society ซึ่งเป็นสมาคมของกลุ่มคนที่มีพลังจิตซึ่งทำให้พวกเขาแปลกแยกออกจากมนุษย์ ทั่วไป สมาคมแห่งนี้ถูกก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว (ราว ๆ ปี ค.ศ. 1600s) ในส่วนของเรื่องในอดีต เจนย์ แอนด์ ครานซ์ก็ได้มีการเขียนถึงเรื่องราวเกี่ยวเนื่องกับสมาคมนี้ โดยที่เธอใช้นามปากกาว่า อแมนด้า ควิค ส่วนเรื่องของสมาคมในยุคปัจจุบันเป็นงานของเจนย์ แอนด์ ครานซ์เอง และมากไปกว่านั้น เรื่องราวของสมาคมในยุคอนาคตก็ถูกรับผิดชอบโดยเจนย์ คาสเซิลซึ่งเป็นอีกนามปากกานึงของเจนย์เช่นกัน

เอกลักษณ์นึงของเจนย์ แอนด์ ครานซ์ก็คือ เธอไม่ใช่คนที่ชอบเขียนเรื่องชุดมากนัก ดังนั้นเมื่อเธอตัดสินใจเขียนเรื่องสมาคมอาร์เคนนี้ขึ้น แต่ละเล่มจึงเป็นอิสระจากกันและกันค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องอ่านเล่มไหนก่อนเลยที่จะเริ่มต้นเรื่องนี้

ตลอดชีวิตของเรนน์ ทาเลนไทน์ เธอคือคนนอก พลังจิตที่ทำให้เธอได้ยินเสียงทำให้เธอแตกต่าง พลังจิตที่ไม่เคยนำความสงบมาสู่ชีวิตของเธอเลยสักครั้ง พลังจิตที่ทำให้เธอตั้งข้อสงสัยถึงสุขภาพจิตของตัวเอง และครั้งนี้ พลังจิตของเธอทำให้เธอค้นพบหญิงสาวที่ถูกจับตัวขังไว้ในบ้านของอาของเธอ

เวลล่า ทาเลนไทน์เป็นแบบของคนที่เรนน์รู้ว่าไม่อยากจะลงเอยเช่นเดียวกัน แต่เรนน์ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะหลีกหนีชะตากรรมนั้นได้หรือไม่ เพราะเวลล่าก็มีพลังจิตรูปแบบเดียวกับเธอ และมันทำให้เวลล่าไม่ค่อยปกตินัก ก่อนที่สุดท้ายแล้วจะทำให้เวลล่าจบชีวิตลงในโรงพยาบาลโรคจิตที่ซึ่งเธอเสีย ชีวิตด้วยอาการหัวใจวาย

นั่นเป็นเหตุผลที่นำเรนน์กลับไปบ้านเกิดของผู้เป็นอาอีกครั้ง เพื่อจัดการเรื่องบ้านของป้าที่ร้างไปนาน (เพราะเวลล่าเข้ารพ.) แต่เมื่อไปถึง เรนน์ก็สัมผัสได้ถึงความเลวร้ายของชายโรคจิตที่ต้องการล่าแม่มด ที่นั่นเธอค้นพบเหยี่อคนนึงของฆาตกรต่อเนื่อง แต่การได้พบและช่วยเหลือหญิงสาวคนนั้น กลับทำให้เธอถูกมองด้วยสายตาที่หวาดระแวงยิ่งขึ้น เพราะไม่มีใครสามารถให้คำอธิบายเหตุผลที่เรนน์รู้ว่ามีคนถูกขังอยู่ที่ นั่น

และแน่ละเรนน์ก็ไม่อธิบาย เพราะเธอไม่ต้องการได้ชื่อว่าเป็นคนบ้า

ในขณะเดียว อดีตก็ได้ตามหาเรนน์จนพบ เมื่อแซค โจนส์ซึ่งเป็นตัวแทนของสำนักงานนักสืบเจแอนด์เจ ซึ่งทำงานให้กับสมาคมอาร์เคนได้เดินทางมาพบเรนน์เพื่อสอบถามถึงนักวิทยา ศาสตร์ของสมาคมที่หายตัวไป และล่าสุดพบว่า ได้มาพบกับอาของเรนน์ก่อนที่เวลล่าจะตาย

แซครู้ว่า เหตุการณ์ในอดีตทำให้เรนน์อาจจะไม่ให้ความร่วมมือกับสมาคมอาร์เคน ดังนั้นเขาจึงมีข้อเสนอที่เธอไม่อาจปฏิเสธ นั่นก็คือ ความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับพ่อของเธอ ความจริงที่ถูกสมาคมปกปิดเอาไว้

แต่เพียงแรกได้พบ ทั้งแซคและเรนน์ก็รู้สึกถึงความต่อเชื่อมของกันและกันได้ และสำหรับคนสองคนที่มีแผลจากความรักมาในอดีต นี่ดูเหมือนจะไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในการเริ่มต้นความสัมพันธ์ และทั้งคู่ก็คิดจะไม่เริ่ม ก่อนที่จะพบว่า ไม่ีอาจหยุดยั้งตัวเองได้

จากนั้นไม่นาน แซคก็ผันตัวเองกลายเป็นบอดี้การ์ดคุ้มครองเรนน์ เมื่อมันแน่ใจแล้วว่า ฆาตกรต่อเนื่องคนที่เรนน์ไปขัดขวางการฆ่าเหยื่อคนนึงของเขา ได้เบนเป้าหมายมายังตัวเธอ นอกจากนี้แล้วทั้งสองหนุ่มสาวก็ยังค้นพบว่า ศัตรูคนสำคัญของสมาคมอาร์เคนก็ได้เจาะจงเรนน์เป็นเป้าอีกต่างหาก

อย่างที่เคยบอกตอนต้นนะคะว่า เจนย์ไม่ค่อยเขียนหนังสือเป็นชุด หรือใช้ตัวละครต่อเนื่องกันเท่าไหรนัก เล่มนี้ก็เป็นอย่างนั้นนะคะ เพียงแต่มีข้อยกเว้นนิดหน่อย ตรงนี้ในเล่มนี้ได้มีการเปิดตัวองค์กรคู่แข่งของอาร์เคนออกมาให้เห็นกัน (แล้วมีโยงไปถึงบรรพบุรุษซึ่งเป็นตัวร้ายใน Second Sight ซึ่งเป็นงานในแนวย้อนยุคเขียนด้วยนามปากกาอแมนด้า ควิค) แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเรื่องยังไม่จบ ต้องติดตามตอนต่อไปอะไรพรรณนั้นหรอกนะ

เหมือนกับงานเกือบจะทุกเล่มของเจนย์ แอนด์ ครานซ์ ที่เขียนพระนางได้เหมาะเจาะซึ่งกันและกันเป็นอย่างยิ่ง แม็กซ์เชื่ออย่างเต็มที่ เมื่อทั้งแซคและเรนน์เกิดอาการสป๊าคซ์อย่างรุนแรงตั้งแต่ต้นที่พบกัน เราไม่รู้สึกว่ามันเร็วเกินไป เพราะทั้งคู่เหมาะสมกันตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันแล้ว

พล็อตเรื่องดำเนินไปได้น่าตื่นเต้นดีค่ะ โดยเฉพาะในส่วนของการสืบสวน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะโฟกัสไปที่จุดนั้นจนความโรแมนติคจะหายไปหรอกนะคะ โดยรวมแล้วเรื่องนี้มีองค์ประกอบการเขียนเรื่องของเจนย์ แอนด์ ครานซ์ครบถ้วนค่ะ

สิ่งที่ทำให้แม็กซ์ชอบเรื่องนี้ยิ่งขึ้นไปอีก (สปอยล์) ก็ คงเป็นการที่คนแต่งทำให้เราผิดหวังเล็ก ๆ ตอนเริ่มต้นเรื่อง เมื่อทำเหมือนว่าทั้งแซค และเรนน์ผิดหวังจากความรักมาก่อน โดยที่ทั้งคู่มีคนที่รัก แต่ด้วยเหตุบางอย่างก็พลัดพรากจากกัน เราชอบที่เธอมาเฉลยในตอนหลังว่า มันไม่ใช่สิ่งที่เราคิดแม้แต่นิดเดียว หลอกเราได้ดีค่ะ

บอกตามตรงนะคะ ถ้าไม่ใช่เพราะเจนย์ แอนด์ ครานซ์เคยเขียนหนังสือที่ดีกว่านี้ (หลายเล่มมาก) แม็กซ์คงชอบเรื่องนี้อย่างเต็มที่ แต่ข้อเสียของนักเขียนที่ดีก็คือ เธอผลิตผลงานในระดับคุณภาพสูงมามากจนทำให้งานบางเล่มที่ดีมาก แต่อาจจะทำให้แม็กซ์รู้สึกว่าดีไม่พอเมื่อเปรียบเทียบกับงานในอดีต

เล่มนี้ก็เป็นแบบนั้น แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของหนังสือหรอกนะคะ

คะแนนที่ 73

ศึกแวมไพร์สะท้านภพ

นี่ไม่ใช่ชื่อหนังจีน

นี่ไม่ใช่ชื่อหนังฝรั่ง

และนี่ไม่ใช่ชื่อหนังสือ (คงไม่มีใครรสนิยมเห่ยขนาดตั้งชื่อหนังสืออย่างนี้เป็นแน่)

แล้วมันคืออะไร

มันคือการแบ่งฝักฝ่ายในวงการโรแมนซ์ระหว่างคนที่ถือหางแวมไพร์สองชนิด

คาร์เพเธียนปะทะดาร์คฮันเตอร์

ก่อนอื่นถามตัวเองก่อนว่าคุณอยู่ข้างไหน ถ้าเลือกข้างคาร์เพเธียน กรุณากด 1 ถ้าเลือกข้างดาร์คฮันเตอร์กรุณากด 2 ไม่ว่าจะกดหนึ่งหรือกดสอง กรุณาวางสายเลิกอ่าน เพราะข้อความที่จะได้อ่านต่อไป อาจทำลายน้ำใจคุณได้

แต่ถ้าไม่เลือกข้างไหนเลยอย่างเรา กรุณากด 0 และอ่านต่อไป

เรากล้ายอมรับเหมือนคนที่ติดเหล้าว่าเคยชอบหนังสือทั้งสองชุดนี่มาก ชุดคาร์เพเธียนออกมาก่อนด้วยเรื่องเจ้าชายมืด แล้วตามมาอย่างรวดเร็วด้วยเรื่องปรารถนามืด และทองมืด (ไม่รู้ทองมันมืดได้ไง แต่ตั้งชื่ออย่างนั้นจริงนะ) เราขอบอกว่าสามเล่มแรกห่วยแตก อ่านไปก็เสียววูบ ไม่ใช่เพราะอะไรหรอกนะคะ แต่เป็นเพราะเลือดสาดท่วมหน้าหนังสือ ดูดเลือดกันไปดูดเลือดกันมา จนเรากลัวว่าโรดเอดส์จะแพร่กระจายไปในหมู่ชาวคาร์เพเธียน

หนังสือเล่มสี่เวทมนตร์มืดยิ่งน่าแหวะ พระเอกรู้จักนางเอกตั้งแต่อยู่ในท้อง (เราหมายความว่าตั้งแต่ในท้องจริงจริง) แถมทำการจัดการให้ทารกในครรภ์กลายเป็นคู่ของตัวเอง ถ้าไม่เรียกว่าไอ้วิตถารเราก็ไม่มีชื่ออื่นให้แล้ว

เล่มที่ 5 สิถึงค่อยเข้าฝัก อ่านสนุก จากนั้นเราก็ขอเรียกว่ายุครุ่งเรืองของชาวคาร์พาเธียน เพราะหลายเรื่องที่ตามมาสนุกถูกใจ จนทำเอาเรากลายเป็นสาวกไปอีกคนนึง เป็นเวลาหลายปีที่เราเป็นแฟนอย่างเหนียวแน่น แต่ความอดทนก็ย่อมมีวันหมดไป เมื่อเราระลึกได้ว่าหนังสือชุดนี้ไม่มีการพัฒนา เนื้อเรื่องเหมือนกันทุกเล่ม

พระเอกเจอหน้านางเอกครั้งแรกก็ร้องดังลั่นว่า "โอในที่สุดการรอคอยของข้าก็จบลง ข้าเจอผู้หญิงที่เป็นคู่ชีวิต คนที่ทำให้ข้าเห็นแสงสี" อ่านครั้งแรกก็ซึ้งดีนะ แต่พอรอบที่ยี่สิบก็ชักอยากจะบอกพระเอกว่า วันหลังแวะมาอยุธยาดีงานแสงสีเสียงที่วัดพระศรีสรรเพชญ์หน่อยไหม แสงสีเพียบ

เล่มสุดท้ายของชุดนี้ที่อดทนอ่านจนจบก็เกือบจะเอาอวัยวะที่ใช้เดินยันหน้า หน้าสือ (เพื่อทดแทนการยันหน้าพระเอก) เสียหลายรอบ ผู้ชายอะไรเลวบัดซบ เจอหน้านางเอกก็คร่ำครวญว่า "ของฉัน ของฉัน" (อย่างที่บอกมุขนี้ใช้ครั้งเดียวก็ซึ้ง แต่นี่ใช้หลายรอบ) จากนั้นก็จัดการเข้าหากลางดึก แล้วก็จัดการเปลี่ยนเป็นแวมไพร์ซะ ไม่ใช่ว่าเราชอบพระเอกแบบพ่อพระนะ พระเอกแอบย่องเข้าหานางเอกที่เราชอบก็มีหลายเล่ม อย่างเรื่อง "ผู้ชายมีหลายพรสวรรค์" - A Well favored Gentleman หรือ "ภาพเขียนของหัวใจ" Portrait of my hearts นี่ก็ย่องเข้าหาเหมือนกัน แต่ทัศนคติของพระเอกมันต่างกัน

ไอ้ลามกนี่คิดอยู่อย่างเดียวว่าจะเข้าไปเคลม แถมเก่งกาจขนาดตัดสินใจให้เลยว่านางเอกอยากเปลี่ยนเป็นแวมไพร์ เราก็รู้ คุณก็รู้ นางเอกโรแมนซ์อยากเป็นแวมไพร์กันทั้งนั้น แต่ถามกันก่อนได้ไหม (วะ)

จบไปชุดนึงแล้ว ตอนนี้แฟนคาร์พาเธียนคงกำลังวางแผนด่าถล่มเราอยู่ (ขอร้องว่าอย่าเสียเวลา เพราะเราบอกให้คุณกด 1 ไปแล้ว)

มาถึงคิวของพ่อยอดมนุษย์สุดสวาทขาดใจของใครหลายคน ดาร์คฮันเตอร์ ชุดนี้ยอมรับอย่างไม่อายเลยว่าติดตามมาตั้งแต่เล่มแรก กรี๊ดสลบ หายใจเข้าก็เฮ้อแอช หายใจออกก็เฮ้อแอชมาแล้ว

บ้าคลั่งมาหลายปีดีดัก แต่ก็เหมือนชุดคาร์พาเธียนที่ความอดทนสิ้นสุดลงเหมือนกัน อะไร (วะ) ยิ่งเขียนยิ่งลอยคอ จากอยู่ในคลองดีดีก็เริ่มลอยออกทะเลไป ไม่รู้ว่าพายุคาทริน่านี่พัดจนลอยออกอ่าวเม็กซิโกไปรึยัง

เปิดตัวละครมาเป็นร้อย แต่เวลาเขียนก็ชอบไปเขียนเรื่องตัวละครประเภทไม่เคยโผล่หัวมาก็กลายเป็น พระเอกไปแล้ว แล้วไอ้ตัวละครหลักก็ชีวิตสับสนพินาศกันไปหลายตัว

มีความสามารถเขียนตัวละครที่เป็นสีสันของเรื่องให้กลายเป็นตัวละครที่น่า รำคาญ (นิคไงคะ) ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เนื้อเรื่องเหรอก็พยายาททำให้ซับซ้อน แต่อ่านไปอ่านมาเหมือนคนแต่งแกงงชีวิตอยู่

ทุกวันนี้ที่อ่านอยู่ก็เพราะตัวละครตัวเดียวเท่านั้น และขอบอกเลยว่าไม่ใช่แอช ถ้าเมื่อใดที่ตัวละครตัวนี้ไม่สมหวังล่ะก้อ

ได้เป็นตัดเป็นตัดตายกันแน่

สรุปศึกระหว่างคาร์พาเธียนกะดาร์คฮันเตอร์ คนที่ท่องโลกเน็ตและอ่านโรแมนซ์อยู่ก็คงพอรู้อยู่ว่ามีการฮึ่มกันอยู่ในที เรามาดูกันว่าพวกเค้ามีข้อถกเถียงกันอย่างไรบ้าง

"นางเอกของคาร์พาเธียนจิ้นอ่ะค่ะ" เสียงดังมาจากสาวน้อยหน้าหวานบอกกับชาวโลกให้รับรู้ข้อดีของคาร์พาเธียน

"พระเอกของดาร์คฮันเตอร์เท่ห์สุด" เสียงดังมาจากอีกฝั่งหนึ่งของห้อง

"พระเอกของคาร์พาเธียนรักจริงหวังแต่งค่ะ"

"เรื่องราวของดาร์คฮันเตอร์น่าค้นหา และน่าติดตามกว่า"

มันกลายเป็นกฎไปแล้วหรือเปล่าที่ถ้าคุณชอบดาร์คฮันเตอร์คุณจะต้องหมั่นไส้ ชุดคาร์พาเธียน หรือในทางกลับกันถ้าคุณชอบคาร์พาเธียนคุณก็ต้องหาโอกาสกัดดาร์คฮันเตอร์

ทำไมพวกเราเหล่าสาวกแวมไพร์ไม่อยู่ร่วมกันอย่างสันติ (เสียงหนึ่งดังมา-- เขาอยู่อย่างสันติแล้วโว้ย แกนั่นแหละหาเรื่องล่อเป้า เดี๋ยวจะโดนยิงจากแฟนทั้งสองฝ่าย)

ศึกนี้ยังอีกยาวนานและคงไม่จบภายในเล่มสองเล่มเป็นแน่ จงเลือกข้างแล้วยืนหยัดต่อสู้ เข้าไปโพสต์ในบอร์ดประกาศจุดยืนของตนเสียเดี๋ยวนี้

หรือไม่ก็เป็นอย่างเรา ด่ามันทั้งสองชุด แล้วเลือกข้างที่สาม

เชียร์ชุด Black Dagger Brothorhood มันเสียเลย (แต่ถ้ายืดมาก อีกสองสามปีก็คงได้ถึงคิวด่าเหมือนกัน)

ความอดทนคุณมีแค่ไหน

ยังอ่านเรื่อง "ความกระหายที่ร้อนรุ่ม" ไม่จบหรอกค่ะ ง่วงหลับไปตั้งแต่หัววัน คงเป็นเพราะว่าซึมจากความผิดหวังที่ได้รู้ถึงหนังสือเรื่องที่จะเป็นตอนต่อ จาก "ความผูกพันกันด้วยเลือด" หรือ Bond of Blood ของ Diane Whiteside (อ่านชื่อหนังสือนี่เดาได้สองแง่นะคะ ถ้าไม่เป็นเรื่องพี่น้องกุ๊กกิ๊กกันก็เป็นเรื่องแวมไพร์ เรื่องนี้เป็นอย่างหลังนะคะ เรายังไม่แก่กล้าพอจะอ่านหนังสือแบบแนวแรก)

ขอเล่าประวัติศาสตร์ก่อนแล้วกัน (ขอเตือนก่อนว่าบลอกนี้ไร้สาระค่ะ เพราะเป็นการบ่นล้วน เกิดจากอาการเจ็บใจของคนที่ไม่ได้ดั่งใจ) เรื่อง BOB (ที่ไม่ใช่หนังสือเล่มที่ห่วยที่สุดของลอร่า ลีย์) นี่ถูกวางแผนมาตั้งแต่ปี 2000 แล้วว่าจะออกกับอีลอร่าสเคฟ เรื่องนี้ถูกนำทางโดยเรื่อง The Hunter's Prey: The Tales of Texas Vampires ซึ่งถูกเขียนขึ้นมาตั้งแต่ยุคสมัยที่แวมไพร์ยังไม่ได้ครองโลกโรแมนซ์เหมือน อย่างตอนนี้ เรื่องฮันเตอร์นี่เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นแนวอีโรติก (ตาโตกันละสิ) ที่เล่าเรื่องของแวมไพร์ (จะใครที่ไหนได้) 3 คน ซึ่งก็คือ ดอนราฟาเอล เปเรซ, อีธาน เทมเพิลตัน, และฌอง มาเรีย เซ็นต์จัส (อ่านแบบภาษาอังกฤษนะคะ ใครเชี่ยวชาญภาษาฝรั่งเศสบอกว่าก็จะดีมากค่ะว่าอ่านยังไง - Jean Marie St.Just) ที่มีนิสัยพระเอกโรแมนซ์ยุคก่อนเจอนางเอกนั่นก็คือ มั่วไปทั่ว

เหยื่อนักล่านี่สนุกนะคะ ไปหาอ่านกันได้เพราะตอนนี้ออกมาพิมพ์ขายกับเบิร์กเลย์แล้ว หลังจากเป็นอีบุ๊คอยู่หลายปี โอเคกลับมาที่เรื่อง เดี๋ยววันนี้จะเล่าไม่จบ หรือไม่คุณก็เบื่อเลิกอ่านไปก่อน หลังจากเล่มนี้ออกขายกะอีลอร่าประมาณปี 1999 ก็มีการโฆษณาเสียยกใหญ่ว่าจะออกเรื่องของดอนราฟาเอลในชื่อ Bond of Blood มีการเอาบทแรกในเรื่องมายั่วบรรดานักอ่านเรียบร้อย

แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เรื่องนี้เป็นหมันไป จนกระทั่งไดแอนเลิกเขียนอีบุ๊คมาเขียนให้กับสำนักพิมพ์ในนิวยอร์ค (ศัพท์คำนี้เราไม่ได้บัญญัติขึ้นเองนะคะ เขาใช้กันว่า NY Publishing House แม้ว่าบางสำนักพิมพ์จะไม่ได้อยู่ในนิวยอร์คก็ตาม) เธอก็กลับไปออกเรื่องแนวตะวันตกแทน

แล้วจู่ ๆ หลังจากเวลาผ่านไปหลายยยยยปี ก็มีคิวเรื่อง Bond of Blood ออก สำหรับเราถือเป็นเป็นข่าวสำคัญแห่งปีนี้ทีเดียว แต่ด้วยเหตุผลที่คุณเองก็คงจะคิดว่า ยายนี่มันเพี้ยนแน่

เพราะเราไม่ได้อยากอ่านเรื่องของดอนราฟาเอล ในหนังสือรวมเรื่องสั้นเราไม่คิดสักนิดว่าเรื่องของเขาน่าสนใจ คนที่เราเล็งไว้คืออีธาน เทมเพิลตันมากกว่า

ด้วยเหตุผลที่ถ้าเราบอกคุณตรงนี้ คุณอาจจะบอกศาลาไม่ซื้อหนังสือของทั้งดอนราฟาเอลและอีธานมาอ่าน

เพาะเรามีโอกาสได้อ่านเรื่องสั้นฉบับก่อนพิมพ์ (หมายความว่าเรื่องสั้นเรื่องนี้ไม่ถูกตีพิมพ์) ที่เป็นเรื่องราวระหว่างดอนราฟาเอลและอีธานที่ให้ความรู้สึกแนววายมาก ในตอนนั้นอีธานเป็นแวมไพร์ใหม่ที่ต้องถูกฝึก (ในเรื่องที่คุณก็น่าจะนึกออก พูดนำทางมาขนาดนี้แล้ว) โดยดอนราฟาเอล

ด้วยเหตุผลใดก็ตามความสัมพันธ์ในเชิงนี้ของทั้งคู่ถูกตัดเมื่อไดแอนนำเอา เรื่องของทั้งคู่มาตีพิมพ์ (ทั้งในแบบอีบุ๊คและที่พิมพ์กับเบิร์คเลย์) นั่นไม่ได้ทำให้เรื่องเสียอรรถรสไปหรอกค่ะ แต่ถ้ามีโอกาสอ่านเรื่องนั้นได้ก็จะดีมากนะคะ เซ็กซี่มาก (ไม่รู้ว่าเราเป็นคนเดียวหรือเปล่าที่เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายด้วย กัน ดูมีเสน่ห์มาก แต่เป็นในหน้าหนังสือนะคะ ชีวิตจริงไม่เอาเด็ดขาด)

กลับเข้าเรื่องอีกรอบ เขียนไปถึงไหนแล้ว (เห็นหรือยังคะว่าบลอกไม่ค่อยมีประเด็นเท่าไหร) โอเคเราชอบอีธานด้วยเหตุผลประหลาด เพราะเขาเป็นเบี้ยล่าง (งงล่ะสิว่าหมายความว่ายังไง) พระเอกในนิยายส่วนใหญ่จะเป็นอัลฟ่า อีธานไม่เพียงแต่ไม่ใช่อัลฟ่า แต่เป็นยิ่งกว่าเบต้า เขา submissive (ไปลองเปิดดิกเอาเองค่ะ กลัวบลอกจะโดนเซ็นเซอร์ แค่นี้ก็เสี่ยงแล้ว) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรับอีกบทบาทนึงไม่ได้

เขาทำให้เรานึกถึงฌอน พระเอกอีกคนของไดแอนจากเรื่อง The Switch ที่สำคัญเขาทำให้เรารู้สึกว่าเรื่องราวของเขาคงจะน่าสนใจ เพราะเราคาดเดาไม่ออก เรารู้ว่าดอนราฟาเอลจะเป็นอัลฟ่า และใช้เสน่ห์ทางเพศอย่างเหลือหลายข่มขู่นางเอก เราไม่ชอบผู้ชายฝรั่งเศสดังนั้นจึงไม่สนใจฌอง มาเรีย ก็เหลือแต่อีธานที่เราคาดเดาไม่ถูกว่าเรื่องราวของเขาจะมาแนวไหน อีกทั้งเรายังคาดเดานางเอกให้เขาเอาไว้แล้ว สเตฟานีเท็กซัส แรงเจอร์ที่ส่วนใหญ่จะเป็นคนถือไพ่ใบเหนือกว่าในความสัมพันธ์ทางเพศของทั้ง คู่เอาไว้ (อยู่ข้างบนนั่นแหละ)

กลับมาที่หัวข้อบลอก ความอดทนคุณมีแค่ไหน เราไม่รู้ค่ะ แต่ของเรารู้สึกจะน้อยลงไปทุกที เพราะหลังจากได้เรื่อง Bond of Blood มา ด้วยการเสียเงินโคตรแพง (เอาไว้มีเวลาคงได้มีอีกบลอกนึงเป็นการบ่นร้านหนังสือ) เราก็พบว่าตอนต่อไปของหนังสือเรื่องนี้คือ "ความผูกพันกันด้วยไฟ" - Bond of Fire และเป็นเรื่องราวของฌอง มาเรีย

กรี๊ดด้วยความผิดหวัง เอามือทุบที่นอนแล้วพร่ำบอกว่า "ฉันอยากอ่านเรื่องของอีธานนะโว้ย" เอาไอ้ฝรั่งเศสนี่กลับไป (ขออภัยคนฝรั่งเศสด้วย แต่จนบัดนี้เราก็ยังไม่เจอหนุ่มฝรั่งเศสที่หล่อได้ใจเลยอ่ะ - ขออภัยด้วยโจฮานที่คุณไม่ใช่สเป็คของฉัน)

ดูลาดเลาแล้วคงอย่างน้อยปี 2008 กว่าจะได้อ่านเรื่องของอีธานมาอ่าน

แต่คนอ่านจะมีสิทธิอะไรนอกจากรอ

ปล. นอกเรื่อง ขอบคุณคุณดีดีที่มาคอมเม้นต์นะคะ ดีใจแทบแย่ที่รู้ว่ามีคนสนใจมาอ่านบลอกไร้สาระของเรานี่